ซอยสุขุมวิท 11 จากที่เป็นแค่ทำเลเงียบเหงา มีแต่โรงแรมจิ้งหรีดเก่าๆ ไว้ให้พวกนักค้ายา นัดดูและส่งมอบของกัน
ปรากฏว่าในช่วงปีที่ผ่านมา บรรยากาศในซอยสุขุมวิท 11 พลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือ เมื่อมีผับเล็กๆ ผุดขึ้นเรียงรายเต็มซอย คล้ายบาร์เบียร์ในซอยคาวบอย สมัยรุ่งเรือง
ผีเสื้อราตรีบินตามแสงไฟหลากสีมายังซอยสุขุมวิท 11 โดยเฉพาะ “ผีเสื้อกลทงคืนสาวสอง” ที่ยึดเป็นทำเลทอง ขายบริการเลี้ยงชีพกันแบบคึกคัก
แล้วสุขุมวิท 11 ก็ได้กลายเป็นสมรภูมิตบกันอย่างดุเดือด ระหว่างกะเทยไทย ซึ่งรวมตัวกันปกป้องศักดิ์ศรีคนไทย เล่นงานแก๊งกะเทยฟิลิปปินส์ จนเผ่นหนีกันแทบไม่ทัน เป็นข่าวใหญ่ฮือฮา
โลกโซเชียลสดุดีวีรกรรมกะเทยไทยกันอื้ออึง เรียกวันที่ 4 มี.ค. 2567 ว่าเป็น “วันกะเทยผ่านศึก” “วันมาคะบูชา กะเทยรวมตัวกันโดยมิได้นัดหมาย”
ขนาดนักร้องดังอย่าง “ดัง พันกร” ยังโพสต์เชียร์ อยากไปร่วมด้วย ในมหกรรมสั่งสอนกะเทยฟิลิปปินส์
จากคำให้การของบรรดาโชเฟอร์แท็กซี่ บอกว่า กะเทยฟิลิปปินส์มาไทยแบบครบวงจร คือ มาเที่ยวตอนเป็นผู้ชาย แล้วค่อยมาทำศัลยกรรมแปลงกายเป็นหญิงกันในไทย เช่าโรงแรมนอนพักฟื้นในไทย สุดท้ายก็พร้อม ออกล่าเหยื่อฝรั่งที่มาเที่ยวไทย ที่ซอยสุขุมวิท 11
โกยเงินกลับบ้านไปอย่างผิดกฎหมาย เพราะกะเทยตากาล็อกพวกนี้ ถือวีซ่านักท่องเที่ยวเข้ามา ไม่ได้มีใบอนุญาตทำงานใดๆ
มาอยู่รวมกันตัวมากๆ เข้าก็เริ่มเหิมเกริม เห็นกะเทยไทยเจ้าถิ่นเป็นคู่แข่ง เป็นตัวก่อความรำคาญ ขวางหูขวางตา เลยมีพฤติกรรมเกะกะระรานไปทั่ว
สิ่งที่คนไทยเพิ่งรู้จากเหตุการณ์วุ่นวายที่ซอยสุขุมวิท 11 ก็คือ คนฟิลิปปินส์ มีอาการเหยียดผิวคนไทย จนแสดงออกมาอย่างชัดเจน ด้วยการรุมกระทืบกะเทยไทยแบบ 20 ต่อ 2
แรงมาแรงกลับ จึงนำมาสู่ปฏิบัติการ “วันมาคะบูชา” ที่กะเทยไทยแห่มาที่ซอยสุขุมวิท 11 เพื่อเช็กบิลกะเทยพลัดถิ่นพวกนี้ ด้วยสองมือเปล่า มาแบบไม่มีแกนนำ ทุกคนคือประชาชน
ผลก็คือ กะเทยฟิลิปปินส์สะบักสะบอม หวาดผวา เมื่อได้สัมผัสรสมือไทยเข้าเต็มๆ
ร้อนถึงเอกอัครทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย ต้องแอบมารับตัวคนของตัวเองออกจากโรงแรมที่ถูกปิดล้อม ในตอนเช้ามืด เพื่อย้ายไปอยู่ในที่ปลอดภัย
คนที่โดนหางเลขถูกด่าไปด้วย ก็คือ ตำรวจ สน.ลุมพินี และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ผู้คนตั้งคำถาม ทำไมถึงปล่อยให้แก๊งสาวสองผีเสื้อราตรีฟิลิปปินส์พวกนี้ มาทำมาหากินค้าประเวณี แย่งอาชีพคนไทย อย่างไร้การควบคุม
ที่ตำรวจตอบต่อสื่อเบื้องต้น ก็ออกแนวพัลวัน พูดได้ไม่เต็มปาก ฟังแล้วไม่เคลียร์ ดูแล้วก็มีการปล่อยปละละเลยจากตำรวจจริงๆ
เหตุการณ์คืนวันที่ 4 มี.ค. 2567 จึงเป็นการจารึกประวัติศาสตร์กะเทยไทย ว่าถึงเวลาต้องทวงคืนเอกราชและศักดิ์ศรีขึ้นมาละก็ กะเทยไทยมาแบบเพลงชาติไทยไม่ผิดเพี้ยน “ไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด”
และเป็นบทเรียนไปถึงคนต่างด้าวทั้งหลาย เวลามาทำมาหากินสุขสบายเมืองไทย ก็ควรจะใช้ชีวิตแบบสงบเสงี่ยมเจียมตน ไม่ใช่มั่นใจจัด จนเห็นคนไทยเจ้าถิ่นเป็นหมูเป็นหมา
กรณีของกะเทยปินส์ จึงซ้ำรอยกับกรณีฝรั่งชาวสวิสที่ภูเก็ต เมื่อคนต่างถิ่น เกิดสำคัญตนผิด เป็นวัวลืมตีน
ฝรั่งภูเก็ตกร่างจัด เตะแพทย์หญิงไทยทีเดียว ตัวเองก็แทบไม่มีที่ยืน เตรียมต้องกระเด็นออกนอกราชอาณาจักรไทย
ขณะที่กะเทยปินส์ ลูกซ่าคับซอย ทำเอาล่มสลายทั้งแก๊งในพริบตา