ตำรวจ บก.ตม.1 ลงพื้นที่ตรวจโรงแรมที่พักกะเทยฟิลิปปินส์ ก่อเหตุร่วมกันรุมทำร้ายกะเทยไทย เผย มีหลักฐานทั้งหมด แม้จะออกนอกประเทศไปแล้ว พร้อมยืนยันไม่มีสถานที่นัดพบเพื่อค้าประเวณีแน่นอน
จากกรณีที่มีกลุ่มสาวประเภทสองชาวไทยรวมตัวกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งภายในซอยสุขุมวิท 11/1 กดดันให้สาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์ 20 ราย ลงมาเจรจา หลังได้มีการรุมทำร้ายสาวประเภทสองชาวไทย ในช่วงค่ำของวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา
ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (5 มี.ค.) ตำรวจกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 (บก.ตม.1) ได้ลงพื้นที่ไปยังโรงแรมที่เกิดเหตุในซอยบริเวณดังกล่าว เพื่อตรวจสอบข้อมูลของสาวประเภทสองชาวฟิลิปปินส์ ว่า เป็นไปตามขั้นตอนถูกต้องตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง หรือไม่ รวมถึงตรวจสอบบุคคลที่เข้าพักว่าอยู่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนด หรือโอเวอร์สเตย์ หรือไม่ โดยเจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูล โดยหลังจากตรวจสอบข้อมูลแล้วเสร็จ เจ้าหน้าที่ก็จะส่งมอบข้อมูลให้ สน.ลุมพินี พิจารณาดำเนินการต่อ
ด้าน พ.ต.อ.ระพีพัฒน์ อุตสาหะ รอง ผบก.ตม.1 เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างพิสูจน์ทราบตัวบุคคลผู้ก่อเหตุว่าเป็นใครบ้าง โดยเป็นอำนาจของ สน.ลุมพินี ในการพิสูจน์ทราบบุคคลจากกล้องวงจรปิดและภาพวิดีโอทั้งหมด จึงจะสามารถตรวจสอบการเข้าออกประเทศได้ว่าบุคคลดังกล่าวหลบหนีออกจากประเทศไทยไปแล้วหรือไม่ โดยยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจของทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ได้เก็บรวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมดไว้แล้ว และหากผู้ก่อเหตุออกนอกประเทศไปแล้ว ก็มีขั้นตอนการดำเนินการ เช่น การออกหมายแดง หรือ หมายน้ำเงิน
ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่เข้ามาในไทยแบบวีซ่านักท่องเที่ยว แต่บางส่วนก็อาจลักลอบทำงานหลังเข้ามาแล้ว ซึ่งทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ต้องไล่ตรวจสอบและจับกุมเป็นรายกรณีไป แต่ในส่วนที่สื่อมวลชนรายงานว่า มีสถานที่ที่ LGBTQ+ เข้าไปทำงาน หรือนัดพบเพื่อค้าประเวณี ยืนยันว่า ไม่มีสถานที่ลักษณะดังกล่าวแน่นอน สามารถไปตรวจสอบได้
สำหรับที่พักทุกแห่งจะต้องแจ้งการเข้าพักทุก 24 ชั่วโมง เพื่อให้ทราบว่า หลังจากนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้าประเทศมาแล้วไปพักที่ใด หากผู้ประกอบการรายใดไม่ให้ความร่วมมือ จะมีความผิด หากเป็นประกอบกิจการโรงแรม มีโทษปรับ 8,000-10,000 บาท ต่อผู้เข้าพัก 1 คน แต่หากเป็นที่พักทั่วไปจะมีโทษปรับ 1,600-2,000 บาท ต่อผู้เข้าพัก 1 คน