"วัชรินทร์"รองอธิบดีอัยการตั้งทีมร่วมสอบสวน พ.ร.บ.อุ้มหายฯคดีตำรวจบังคับ"ลุงเปี๊ยก"สารภาพ เผยดีเอสไอรับผิดชอบสำนวนทั้งหมด
วันนี้ (1 ม.ค.) นายวัชรินทร์ ภาณุรัตน์ รองอธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน ในฐานะรองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้ากรณีนายปัญญา คงแสนคำ หรือ ลุงเปี๊ยก ที่ถูกตำรวจสภ.อรัญประเทศ ทำร้ายเพื่อให้รับสารภาพคดีการเสียชีวิตของป้าบัวผัน ซึ่งพฤติกรรมของตำรวจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565 หรือ พ.ร.บ.อุ้มหายฯ
โดยก่อนหน้านี้นายกัน จอมพลัง ได้พาญาติของลุงเปี๊ยกได้มาร้องทุกข์ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ตรวจสอบว่าเข้าข่ายความผิด พ.ร.บ.อุ้มหายหรือไม่ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าเข้าข่ายความผิด จึงทำให้ดีเอสไอรับสอบสวนคดีดังกล่าวเป็นคดีพิเศษได้ตาม มาตรา 31 ไปด้วยตามกฎหมาย โดยสำหรับการสอบสวนจะต้องให้อัยการเข้ามากำกับการสอบสวนตั้งแต่แรกจนถึงสรุปสำนวน ซึ่งดีเอสไอได้ส่งหนังสือไปยังอธิบดีอัยการสอบสวนแล้ว
โดยความคืบหน้าล่าสุด เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าสอบปากคำลุงเปี๊ยกที่โรงพยาบาลธัญญารักษ์ ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ที่ให้การรักษาแล้ว ลุงเปี๊ยกสามารถให้การได้เป็นอย่างดีและได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีอย่างมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษยังได้ลงพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว เพื่อสอบปากคำพยานในคดีนี้เบื้องต้นแล้ว 7 ปาก ซึ่งมีทั้งข้าราชการตำรวจ และพลเรือนที่ถ่ายคลิปเหตุการณ์ของลุงเปี๊ยกไว้ได้
ส่วนแนวทางการสอบสวนในคดีนี้ต้องอาศัยกฎหมายและระเบียบของสำนักงานอัยการสูงสุด โดยทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรอรัญญประเทศได้ส่งสำนวนการสอบสวนในคดีนี้มายังคณะพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศศแล้วตามกฎหมาย ซึ่งตำรวจสภ.อรัญประเทศต้องหยุดการสอบสวนในคดีนี้ทันที อย่างไรก็ตาม สำนวนดังกล่าวไม่มีผลต่อการสอบสวนทางคดี แต่หากตรวจสอบพบว่า มีการทำสำนวนเพื่อช่วยเหลือกันก็จะดำเนินการไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
ส่วนกรณีที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ถูกแจ้งข้อกล่าวหาตามมาตรา 157 เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบในคดี บังคับลุงเปี๊ยกรับสารภาพนั้น ทาง ป.ป.ช. จังหวัดสระแก้วก็จะสำนวนกลับมาให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการร่วมกับอัยการสำนักงานการสอบสวนเช่นกัน
ส่วนแนวทางการสอบสวนนั้น เนื่องจากข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนแล้วว่าเป็นการควบคุมตัวลุงเปี๊ยกไม่ใช่การเชิญตัวตามที่ตำรวจนกล่าวอ้าง ดังนั้นแนวทางการสอบสวนตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ จะต้องเริ่มจากการตรวจสอบว่ามีการแจ้งการควบคุมตัวไปยังนายอำเภอหรืออัยการจังหวัดตามกฎหมายหรือไม่ เมื่อควบคุมตัวแล้วได้พาลุงเปี๊ยกไปที่ใด มีการบันทึกภาพระหว่างการสอบปากคำหรือไม่ และจะทำการตรวจสอบการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐว่าเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.อุ้มหายฯเพื่อให้ได้มาซึ่ง คำรับสารภาพจากลุงเปี๊ยกหรือไม่ เช่น บังคับให้สารภาพ ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ส่วนผู้บังคับบัญชาจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ ด้วยหรือไม่นั้นจะต้องมีการสอบสวนเพิ่มเติมว่ารู้เห็นการกระทำ และได้ยับยั้งเพื่อไม่ให้เกิด การกระทำนั้นหรือไม่ หากพบว่ามีความผิด ผู้บังคับบัญชาจะต้องรับโทษกึ่งหนึ่ง
นายวัชรินทร์ย้ำว่า คณะทำงานชุดนี้ประกอบไปด้วยอัยการ 9 คน ซึ่งเป็นชุดเดียวกับชุดที่ร่วมกำกับการสอบสวนในคดีอดีตผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดชลบุรีกับพวกร่วมกันเรียกรับทรัพย์จากเจ้าของเว็บไซต์พนันออนไลน์ 140 ล้านบาท หรือ เป้รักผู้การ และยังมีอัยการที่ร่วมร่าง พ.ร.บ.อุ้มหายฯ อยู่ในคณะทำงานด้วย จึงขอให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า เรื่องนี้ไม่มีการกันแกล้งหรือให้การช่วยเหลือผู้ใด แม้แต่ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือผู้ที่รู้เห็นเหตุการณ์แต่ไม่ยับยั้งการกระทำก็จะถูกดำเนินคดีด้วยเช่นกัน เหมือนคดีของผู้กำกับโจ้ ยืนยันว่าเอาจริงและจะไม่มี อัยการคนใดถูกข่มขู่ในการทำคดีอย่างแน่นอน
ส่วนความคืบหน้าในคดีเป้รักผู้การ รองอธิบดีอัยการยืนยันว่าได้ให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายและได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงจากกรณีที่ผู้ต้องหาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมมาเรียบร้อยแล้วตามสิทธิ์ของผู้ต้องหา โดยคณะพนักงานสอบสวนจะประชุมคดีนี้อีกครั้งในวันที่ 18 มีนาคมนี้ เพื่อสรุปว่า จะสั่งฟ้องผู้ต้องหารายใดบ้างในความผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหายฯ และจะดำเนินการให้เสร็จก่อนช่วงวันสงกรานต์ว่า ซึ่งไม่อนุญาตให้ผู้ต้องหายื่น พยานหลักฐานเพื่อร้องขอความเป็นธรรมอีก เนื่องจากได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบพยานหลักฐานที่ผู้ต้องหาทั้ง 33 รายได้ยื่นขอความเป็นธรรมมาเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว
ส่วนนายต้น หนึ่งในผู้ต้องหาที่หลบหนีไปนั้น มีมติแล้วว่าจะแจ้งไปยังตำรวจสากลเพื่อออกหมายน้ำเงินสำหรับผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีออกหมายจับแล้ว เพื่อให้ติดตามที่อยู่ของผู้ต้องหา และเมื่ออัยการได้สั่งฟ้องแล้วก็จะเปลี่ยนเป็นหมายแดง เพื่อติดตามจับกุมและดำเนินการส่งผู้ร้ายข้ามแดนต่อไป