xs
xsm
sm
md
lg

เอกภพ" สายไหมต้องรอด พาหนุ่มญี่ปุ่นถูกแก็งยากูซ่ารุมทำร้ายเจ็บสาหัสร้องอัยการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



”เอกภพ" สายไหมต้องรอด พาหนุ่มญี่ปุ่นถูกแก็งยากูซ่ารุมทำร้ายเจ็บสาหัส แต่อัยการสั่งฟ้องผู้ต้องหาโทษเพียงเล็กน้อย แฉพวกยากูซ่าใช้ไทยเป็นที่ฟอกเงินธุรกิจสีเทาจ่อแจ้ง ”บิ๊กโจ๊ก“ ปราบ

วันนี้ (7 ก.พ.) ที่สำนักงานคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (แจ้งวัฒนะ) สำนักงานอัยการสูงสุด ศูนย์ราชการฯ อาคารเอ ถนนแจ้งวัฒนะ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พานายเทตซูโอ โคบาชิกาวา ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น สัญชาติเปรู อายุ 35 ปี ที่ถูกแก๊งยากูซ่าชาวญี่ปุ่น 5 คนรุมทำร้ายร่างกายจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จมูกหัก ตาแตก บาดแผลฟกช้ำทั่วตัว แพทย์ให้พักรักษาตัวเกินกว่า 2 เดือน ผู้เสียหายหมดเงินค่ารักษาตัวไปกว่า 4 แสนบาท เข้าพบ นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิ และช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชน (สคช.) เพื่อขอความช่วยเหลือ

นายเอกภพ กล่าวว่า ผู้เสียหายเป็นชาวญี่ปุ่นที่ไปอยู่ประเทศเปรู จนได้รับสัญชาติ ต่อมาได้มาทำงานเปิดธุรกิจที่ประเทศไทย และถูกชาวญี่ปุ่นรุมทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดเมื่อปี 2565 เคยแจ้งความไว้ที่ สน.คลองตันแล้ว แต่ต้นปีที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนส่งฟ้องสำนวนต่ออัยการ ให้ดำเนินคดีผู้ต้องหาในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อัยการกลับสั่งฟ้องในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้ได้รับบาดเจ็บ ไม่ใช่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ทำให้ผู้ต้องหาทั้งหมดที่สั่งฟ้องไป เมื่อให้การรับสารภาพ ศาลก็เมตตา พิพากษาให้จำคุก 2 เดือน โดยให้รอลงอาญาทั้งหมด ผู้เสียหายจึงรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมกับกฎหมายไทย

นอกจากนี้เมื่อวันที่ 30 ม.ค. ที่ผ่านมา อัยการยังได้ส่งหนังสือไปถึงผู้เสียหายให้ไปยื่นเรื่องฟ้องเรียกค่าเสียหาย แต่หนังสือมาถึงวันที่ 2 ก.พ. เมื่อผู้เสียหายติดต่อกลับไป กลับพบว่าศาลมีคำพิพากษาไปแล้วเมื่อวันที่ 30 ม.ค. วันนี้จึงต้องการมาปรึกษาอธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิฯ ว่าอัยการฟ้องอย่างถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ และทางเพจสายไหมต้องรอดจะรวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับแก๊งยากูซ่าที่เข้ามาทำธุรกิจสีเทาในไทยไปร้องต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วย โดยพบว่าแก๊งยากูซ่าเหล่านี้มักจะเข้ามาฮุบกิจการของชาวต่างชาติที่เปิดธุรกิจอย่างถูกกฎหมายในไทย มาเป็นสถานที่ฟอกเงินของแก๊งตนเอง

ขณะที่นายเทตซูโอ ได้ให้สัมภาษณ์ผ่านล่ามแปลภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเปิดเผยว่า วันที่เกิดเหตุ ผู้เสียหายได้ไปสังสรรค์กับเพื่อนที่ร้านอาหารย่านพระโขนง แต่ระหว่างที่นั่งกินอยู่ก็ถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุถือไม้กอล์ฟเข้ามารุมตีและลากไปทำร้ายที่หน้าร้านจนสลบ ส่วนมูลเหตุจูงใจเชื่อว่ามาจากการที่ตนเองเคยรู้จักกับหนึ่งในกลุ่มผู้ก่อเหตุ จากการที่เคยเป็นพาร์ทเนอร์ทำธุรกิจร้านคาราโอเกะและร้านอาหาร แต่ขัดแย้งกันเพราะอีกฝ่ายพยายามแย่งชิงอำนาจบริหาร จึงแตกคอกัน จากนั้นผู้ก่อเหตุก็ไปเข้ากับกลุ่มแก๊งยากูซ่ารายใหญ่ของญี่ปุ่น

ซึ่งผู้เสียหายเล่าอีกว่า แก๊งนี้เกี่ยวข้องกับการต้มตุ๋นหลอกลวงที่ประเทศญี่ปุ่นและนำเงินมาฟอกเงินในไทย ผ่านการเปิดร้านอาหารและธุรกิจต่างๆ ซึ่งผู้เสียหายก็เคยแจ้งข้อมูลทั้งกับตำรวจไทยและตำรวจญี่ปุ่น รวมถึงสถานทูตญี่ปุ่นแล้ว แต่ไม่มีฝ่ายไหนดำเนินคดีกับกลุ่มผู้ต้องหา โดยอ้างว่าข้อมูลไม่เพียงพอ ซึ่งหลังเกิดเหตุผู้เสียหายก็ได้รับข้อความข่มขู่ว่าจะอุ้มไปฆ่าและนำไปฝังที่ประเทศกัมพูชา แต่ผู้เสียหายก็ไม่อยากจะหวาดกลัว และอยากสู้ให้เต็มที่ จึงขอความร่วมมือจากสื่อไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พร้อมยืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทาของแก๊งยากูซ่าดังกล่าว และหลังจากนี้ก็จะเตรียมร้องกับสถานทูต

ด้านนายโกศลวัฒน์ อธิบดีอัยการสำนักงานคุ้มครองสิทธิฯ เปิดเผยภายหลังการรับเรื่องร้องทุกข์ว่า ในชั้นต้นจากเอกสารพบว่าอัยการสำนักงานคดีศาลแขวงกรุงเทพใต้ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลไปแล้ว แต่ไม่พบเอกสารที่พนักงานสอบสวนนำใบรับรองแพทย์ว่าบาดเจ็บสาหัส ต้องรักษาเป็นเวลานาน ส่งให้อัยการ ดังนั้นก็จะมีการสอบถามเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงจากอัยการคดีศาลแขวงก่อน ส่วนคดีนี้ที่มีการฟ้องไปแล้ว ศาลพิพากษาไปแล้ว การจะรื้อคดีอาญาเป็นเรื่องยาก แต่ยังสามารถฟ้องเรียกค่าเสียหายทางแพ่งได้ ซึ่งสำนักงานคุ้มครองสิทธิฯ ก็พร้อมจะช่วยเหลือผู้เสียหาย


ขณะเดียวกันนายเดียร์ ชายชาวไทย เพื่อนของนายเทตซูโอ ที่เดินทางมาด้วย และเป็นอีกหนึ่งคนที่ถูกผู้ต้องหากลุ่มเดียวกันทำร้ายร่างกาย โดยใช้ที่เขี่ยบุหรี่ที่เป็นจานรองแก้วและขวดโซดาขว้างมาใส่ และยังเอาบุหรี่มาจี้ที่ตาของตนเองด้วย

นายเดียร์ กล่าวว่า ตนถูกทำร้ายวันที่ 15 ต.ค.65 ก่อนนายเทตซูโอถูกทำร้าย 3 วัน กลุ่มที่ทำร้ายตนมีทั้งหมด 5 คน คือ นายชุนจิ เบอร์หนึ่งของแก๊ง มีพฤติกรรมชอบเล่นยา กินเหล้า และชอบทำร้ายร่างกาย หลังเกิดเหตุนายชุนจิหนีกลับญี่ปุ่นไปแล้ว คนที่ 2 คือนายซาวายะ มือขวานายชุนจิ ชอบบังคับให้ดื่มเหล้า เสพยา และทำร้ายร่างกาย ตอนนี้นายซาวายะอาศัยอยู่ในประเทศไทยเกินกำหนด หรือ Over Stay คนที่ 3 คือ นายฮิเดนโนบุ มือขวาอีกคนของนายชุนจิ นิสัยขี้เมา และเป็นเชฟร้านชาบูย่านทองหล่อ คนที่ 4 คือ นายทาเคชิ คนนี้ดื่มเหล้าอย่างเดียว เป็นเหมือนน้องเล็กของแก๊ง ไม้ค่อยมีบทบาทเท่าไหร่ ส่วนคนที่ 5 ตนไม่เคยรู้จัก จึงไม่รู้ว่าเป็นใคร

กลุ่มนี้จะเป็นพวกที่ชอบดื่มเหล้า และชื่นชอบการใช้สารเสพติดทุกครั้งที่ดื่ม เมื่อรวมตัวกันเมื่อไหร่ก็จะดื่มเหล้า เสพยา และมักทำร้ายร่างกายคนที่อยู่ใกล้ตัว และจะชอบยึดพื้นที่อาณาเขตให้อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของนายซุนจิ และถ้าใครไม่เชื่อฟังคำสั่งก็จะถูกนายชุนจิทำร้ายร่างกาย

อย่างไรก็ตาม นายเอกภพ จะพาผู้เสียหายเข้าพบ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พร้อมนำข้อมูลหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับแก๊งยากูซ่าที่เข้ามาทำธุรกิจสีเทาในประเทศไทยไปให้ และช่วยเหลือหลังถูกกลุ่มผู้ก่อเหตุตามข่มขู่
กำลังโหลดความคิดเห็น