รองโฆษก ตร.เผย ผบ.ตร.กำชับ ผบช.น.ทำคดีเด็กม.2 แทงคอเพื่อนดับ อย่างรอบคอบ ครอบคลุมทุกมิติ ล่าสุดแจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นไว้ก่อน ยังไม่ชัดเป็นเด็กพิเศษรอผลตรวจจากแพทย์ ขอความร่วมมือสื่อมวลชนและโซเชียลฯ ระวังนำเสนอข้อมูลส่วนบุคคล
วันนี้ (29 ม.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย รัตนพานิช รองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยความคืบหน้าเหตุนักเรียนชั้นม.2 ใช้อาวุธมีดแทงคอเพื่อนเสียชีวิต ภายในโรงเรียนแห่งหนึ่ง เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ว่า หลังเกิดเหตุทางตำรวจได้ควบคุมตัวผู้ก่อเหตุไปสอบปากคำที่สน.คลองตัน พร้อมเชิญเจ้าหน้าที่ทีมสหวิชาชีพมาร่วมสอบปากคำและนำไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาฆ่าผู้อื่นไว้ก่อน และหลังจากตรวจสุขภาพแล้วเสร็จ ภายใน 24 ชม.จะส่งตัวไปที่ศาลเยาวชนและครอบครัวกลางตามขั้นตอน
พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย กล่าวว่า กรณีดังกล่าวพล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร.ได้สั่งการให้ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น.ดำเนินการเร่งรัดติดตามคดีนี้อย่างรอบคอบ ครอบคลุมทุกมิติ เพราะผู้ก่อเหตุและผู้เสียชีวิตยังเป็นเด็กและเยาวชน และขอความร่วมมือสื่อมวลชนและสื่อโซเชียลมีเดีย ระมัดระวังการนำเสนอหรือแชร์ข้อมูลส่วนบุคคลด้วย ไม่ว่าจะเป็นชื่อจริงและรูปภาพ
"ส่วนสาเหตุ ยังต้องรอผลการสอบปากคำอย่างและการดำเนินการตามขั้นตอน เพราะผู้ก่อเหตุเป็นเด็ก ส่วนผู้ก่อเหตุจะเป็นเด็กพิเศษหรือไม่ ทางพนักงานสอบสวนอยู่ระหว่างการนำตัวไปตรวจสุขภาพร่างกายและสุขภาพจิตโดยต้องรอผลการวินิจฉัยของแพทย์" พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย กล่าว
รองโฆษก ตร. กล่าวด้วยว่า หากพบว่าผู้ก่อเหตุเป็นเด็กพิเศษ ตามขั้นตอนจะต่างจากผู้ต้องหาที่เป็นเด็กธรรมดา 2 เรื่อง คือ ขั้นตอนแรกหากไม่สามารถต่อสู้คดีได้ก็จะงดสืบสวนในคดีนั้น แต่หากสามารถสู้คดีได้ ก็จะมอบให้ผู้อนุบาล หรือข้าหลวงประจำจังหวัดหรือผู้ที่เกี่ยวข้องนำตัวไปดูแลรักษาตามเหตุสมควร ทั้งนี้ ส่วนการตรวจสอบคงใช้เวลาไม่นานเพราะมีกระบวนการอยู่แล้ว เนื่องจากเป็นคดีสำคัญและประชาชนให้ความสนใจและ ทาง ผบ.ตร. ได้กำชับ ไปทาง ผบช.น.แล้ว ให้ดำเนินการอย่างรอบคอบทุกมิติ
ส่วนกรณีที่ ผบ.ตร. ระบุว่า จะศึกษารวบรวมสถิติการก่อเหตุของเด็กและเยาวชน เพื่อให้กระทรวงยุติธรรมนำไปพิจารณาในการปรับแก้ข้อกฎหมายการดำเนินคดีกับเด็กที่อายุต่ำกว่า 15 ปี นั้น พ.ต.อ.หญิง ฉันฉาย คาดว่าในส่วนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะดำเนินการรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นภายในสิ้นเดือนนี้ เนื่องจากต้องมีการแยกข้อมูลประเภทของคดีอย่างละเอียดเพื่อให้ข้อมูลเกิดความชัดเจนก่อนจะส่งให้กระทรวงยุติธรรมต่อไป