“ข่าวลึกปมลับ” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APPสถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูปNEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจNEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันพุธที่ 25 มกราคม 2567 ตอน ผือกร้อน กกต. วัดใจ ”เลขาฯ แสวง” กล้าฟันภูมิใจไทย หรือไม่?
ผลพวงจากคำวินิจฉัยคดีซุกหุ้นของ ”ศักดิ์สยาม ชิดชอบ" อดีต รมว.คมนาคม-อดีตเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยด้วยเสียงเกือบเป็นเอกฉันท์ว่า ศักดิ์สยาม คือเจ้าของห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญ คอนสตรัคชั่นและเป็นถือหุ้นส่วนของหจก.บุรีเจริญฯ ตัวจริง แต่ให้นายศุภวัฒน์ เกษมสุทธิ์ ถือหุ้นไว้ในลักษณะนอมินี ที่ตอนนี้ ไม่ใช่แค่ต้องติดตาม การทำงานของคณะกรรมการป.ป.ช.ว่า จะขยายผล เอาผิด ศักดิ์สยาม กรณีปกปิดบัญชีทรัพย์สินฯหรือแจ้งบัญชีทรัพย์สินอันเป็นเท็จฯ ต่อจากนี้หรือไม่ เท่านั้น
แต่ยังต้องติดตาม อย่างใกล้ชิดสำหรับการทำงานของ คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)และนายทะเบียนพรรคการเมืองที่ก็คือ แสวง บุญมี เลขาธิการกกต.คนปัจจุบัน ว่าจะสอบสวนขยายผล เอาผิด ศักดิ์สยามและพรรคภูมิใจไทย
ในเรื่อง”เงินบริจาค”เข้าพรรคภูมิใจไทย ที่บริจาคโดยศุภวัฒน์ แต่ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ก็ชี้แล้วว่า เงินบริจาคดังกล่าว มีข้อพิรุธ-น่าสงสัย เช่นก่อนหน้านี้ ศุภวัฒน์ ไม่เคยบริจาคเงินให้กับภูมิใจไทยเลย แต่แล้ว หลังมีการเข้าซื้อขายหุ้นหจก.บุรีเจริญฯจากศักดิ์สยาม โดยมีการบริจาคเงินให้พรรคหลายรอบ ที่ดูแล้ว ก็พอจะเข้าใจได้ไม่ยากว่า ก็น่าจะเป็นเงินของศักดิ์สยาม นั่นเอง
อันเป็นความปรากฏอยู่ในคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญตอนหนึ่งดังนี้
“สำหรับข้อเท็จจริงถึงการบริจาคเงินของนายศุภวัฒน์ให้กับพรรคภูมิใจไทยในระหว่างที่ผู้ถูกร้องเป็นเลขาธิการพรรค
จากเอกสารของพรรคภูมิใจไทย ปรากฏว่า นายศุภวัฒน์บริจาคเงินหรือทรัพย์สินประโยชฯอื่นให้พรรคในนามส่วนตัว มูลค่า 2,270,000 บาท และในปี62 บริจาคในนามห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯเงิน 4,800,000 บาท และจำนวน 6,000,000 ในปี65 ซึ่งเป็นช่วงเวลาภายหลังผู้ถูกร้องโอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์ในปี61 แล้วไม่ปรากฏว่าช่วงเวลาก่อนโอนหุ้นนายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯเคยบริจาคเงิน ทรัพย์สินให้แก้พรรคภูมิใจไทยหรือมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ใดๆกับพรรคมากก่อน
ประกอบกับที่นายศุภวัฒน์เบิกความว่าก่อนที่จะได้รับโอนหุ้นไม่เคยบริจาคเงินให้พรรคภูมิใจไทย
กรณีมีข้อพิรุธสงสัยว่า นายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯไม่เคยมีความสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทย แต่ช่วงเวลาที่ผู้ถูกร้องโอนหุ้นให้นายศุภวัฒน์แล้ว นายศุภวัฒน์และห้างหุ้นส่วนจำกัดบุรีเจริญฯกลับบริจาคเงินและทรัพย์สินให้กับพรรคการเมืองที่ผู้ถูกร้องเป็นเลขาฯพรรค”
ชัดๆแบบนี้ หาก “แสวง บุญมี นายทะเบียนพรรคการเมือง-เลขาธิการกกต.”นั่งเอามือ”ซุบหีบ”ทำไม่รู้ไม่ชี้ ก็อาจโดนวิจารณ์เอาได้นะ
เพราะบางฝ่ายก็พยายามมองว่า นายแสวง ที่เคยมีสายสัมพันธ์พิเศษ อันดีกับ”บ้านใหญ่บุรีรัมย์-ตระกูลชิดชอบ” ตั้งแต่ยุค ปู่ชัย ชิดชอบ อดีตประธานรัฐสภา บิดา เนวินและศักดิ์สยาม ชิดชอบ จะขยายผลสอบสวนเงินบริจาคดังกล่าวของ พรรคภูมิใจไทย หรือไม่?
และในความเป็นจริง เรื่องนี้ มีการยื่นให้กกต.ตรวจสอบ ตั้งแต่ช่วงจะเลือกตั้งเมื่อปี 2566 ไว้ก่อนแล้ว
โดยเป็นการยื่นของ ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ที่ไปยื่นคำร้องต่อกกต.ขอให้ยุบพรรคภูมิใจไทยเมื่อช่วงมีนาคม 2566 ที่ชูวิทย์ ขยายผล จากคำอภิปรายของฝ่ายค้านที่อภิปรายไม่ไว้วางใจ ศักดิ์สยาม
ประเด็นที่ยื่นก็คือ อ้างว่า เงินบริจาคดังกล่าว น่าจะมีความผิดปกติ เพราะนายศุภวัฒน์ เป็นนอมินีถือหุ้นในหจก.บุรีเจริญคอนสตรัคชั่นแทนนายศักดิ์สยาม การที่ นายศุภวัฒน์ ยื่นบริจาคเงินเข้าพรรคภูมิใจไทย หลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา
จึงอาจเข้าข่ายขัดมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560
ที่ข่าวว่า การสืบสวนสอบสวนของกกต. เดินไปแบบอืดเป็นเรือเกลือ ล่าช้ามากในช่วงที่ผ่านมา ทางอนุกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของนายทะเบียนพรรคการเมือง ที่รับผิดชอบเรื่องนี้ แค่อยู่ระหว่างการเรียกผู้เกี่ยวข้องมาให้ถ้อยคำเพิ่มเติม หลังก่อนหน้านี้ เรียกตัวแทนของหจก. บุรีเจริญ คอนสตรัคชั่นมาให้ข้อมูลแล้ว
ที่ต้องจับตาก็คือ หากอนุกรรมการฯเห็นว่า เงินบริจาคดังกล่าว เป็นนิติกรรมอำพราง ไม่ใช่เงินของนายศุภวัฒน์ แต่เป็นเงินของศักดิ์สยาม และยึดตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ เข้ามาประกอบในสำนวนของอนุกกกต. ทางอนุกกต. ก็ต้องทำสรุปรายงานและความเห็นส่งให้ แสวง บุญมี
ถ้าอนุกรรมการฯ มีความเห็นออกมาในทางลบ กับศักดิ์สยาม และภูมิใจไทย แล้วส่งเรื่องให้ นายทะเบียนพรรคการเมือง ชี้ขาด โดยหาก แสวง เห็นว่าเป็นนิติกรรมอำพรางจริง และเข้าข่าย แจ้งเท็จกับกกต. ก็สามารถเสนอต่อที่ประชุมกกต.เพื่อพิจารณาให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคภูมิใจไทยได้ แต่ถ้าเห็นไว้ไม่ผิดก็จะมีคำสั่งยุติเรื่อง
สำหรับการเอาผิด ภูมิใจไทย เรื่องนี้ ตามมาตรา 72 พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง บัญญัติไว้โดยสรุปว่า
“ห้ามพรรคการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในพรรคการเมืองรับบริจาคเงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใด โดยรู้หรือควรรู้ว่าได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีเหตุอันควรสงสัยว่า มีแหล่งที่มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย”
โดยหาก ผู้ใดหรือพรรคการเมืองใด ฝ่าฝืนมาตรา 72 ดังกล่าว ก็จะมีความผิด ตามมาตรา 126 ของพรบ.พรรคการเมืองฯ ที่บัญญัติว่า
“ผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคการเมืองผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 72ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น”
ส่วน”การยุบพรรค”จะไปอยู่ในมาตรา92 ของพรบ.พรรคการเมืองฯ ที่บัญญัติว่า
“เมื่อคณะกรรมการกกต. มีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองใดกระทำการ อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้ ให้ยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองนั้น”
ซึ่งจะไปอยู่ใน วงเล็บ (3) ที่เขียนไว้หลายเรื่องรวมถึงกรณีเรื่องเงินบริจาค ตามมาตรา 72 ของพรบ.พรรคการเมือง ฯ ก็สามารถยื่นเรื่องให้ ศาลรัฐธรรมนูญ สั่งยุบพรรคได้
ตามวรรคท้ายที่บัญญัติว่า
“เมื่อศาลรัฐธรรมนูญดำเนินการไต่สวนแล้ว หากมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่าพรรคการเมืองกระทำการ ตามวรรคหนึ่ง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคการเมือง และเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น”
หากเรื่องไปถึงขั้นยุบพรรคภูมิใจไทยขึ้นมา บิ๊กเนมการเมือง อย่าง อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ก็อาจไม่รอด เสี่ยงต้องเว้นวรรคการเมืองตลอดชีวิต ก็ได้!
มันจึงเป็นเผือกร้อนของจริงสำหรับ”แสวง บุญมี เลขาธิการกกต.-นายทะเบียนพรรคการเมือง” ที่เป็นต้นเรื่องในการพิจารณาสำนวนดังกล่าวนี้
------------------------------
**หมายเหตุ
ดาวโหลดแอป Sondhi App ได้แล้ว
ระบบ iOS ไปที่ AppStore :https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647
ระบบ android ไปที่ Google Play :https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android