"ทนายกฤษฎา"ยั๊วจัด แจ้งความ 3 พ.ต.อ.สภ.ปทุมธานี ม.157 ฐานกลั่นแกล้งออกหมายจับคดีปลอมเช็ค ต้นเหตุโดน บช.ก.ล็อคตัว
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 ม.ค.67 ที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พหลโยธิน จองพล จตุจักร กทม. นายกฤษฎา อินทามระ ฉายาทนายปราบโกง เดินทางเข้าพบ พ.ต.ต.หญิง จุฬามณี เทพวงษ์ษา สว.(สอบสวน)กก.2.บก.ปปป. แจ้งความดำเนินคดีกับ นายตำรวจยศ พ.ต อ.จำนวน 3 นาย ซึ่งขณะเกิดเหตุปฏิบัติราชการอยู่ที่ สภ.เมืองปทุมธานี ในข้อหา ม.157
ทนายกฤษฎา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 ม.ค.67 เวลาประมาณ 10.00 น.ตนได้ดินทางมาที่ ศูนย์รับแจ้งความกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง พบพนักงานสอบสวนกองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจรติและประพฤติมิชอบ(บก.ปปป.) ก่อนจะมอบหลักฐานเพิ่มเติมกรณีที่ได้มาแจ้งความร้องทุกข์ไว้แล้วเมื่อวันที่ 26 ธ.ค.66 เกี่ยวกับการออกเลขบ้านกระต๊อบหรือขนำบนเกาะโหลน จังหวัดภูเก็ต โดยให้ดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐพร้อมเอกชนหลายราย มีสื่อมวลชนมาสัมภาษณ์และรายงานข่าวทั้งสื่อออนไลน์และโทรทัศน์
โดยในวันดังกล่าวได้แสดงบัตรประจำตัวประชาชนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจแสกนผ่านเครื่องตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคล ซึ่งการมาติดต่อราชการทุกครั้งก็ทำเช่นนี้ตั้งแต่ ปี 2665-2566 เหตุการณ์ก็ปกติ
หลังจากนั้นเวลาประมาณ 11.00 น. ตนได้ให้สื่อมวลชนสัมภาษณ์ที่บริเวณหน้าอาคารศูนย์รับแจ้งความฯ ตรงจุดที่ บช.ก.กำหนดไว้
เมื่อสัมภาษณ์เสร็จ มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป.มาแจ้งว่า พ.ต.อ.ดร.สมศักดิ์ เนียมเล็ก ผกก.5 บก.ปปป.เจ้าของคดีเกาะโหลนขอเชิญตนขึ้นไปพบที่ ห้องทำงาน ชั้น 15 อาคารพิทักษ์สันติ บก.ปปป. กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เพื่อพูดคุยปรึกษาหารือ ก่อนจะมอบหลักฐานเพิ่มเติมในสำนวนคดีเกาะโหลน ภูเก็ต
หลังจากตนมอบหลักฐานแล้ว กำลังจะเดินออกจากห้องทำงานของ พ.ต.อ.ดร สมศักดิ์ ก็ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายกันไม่ให้ตนออกจากห้องและแสดงหมายจับของศาลจังหวัดปทุมธานี จ.203/2563 ลงวันที่ 15 ธ.ค.2563 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งว่า ศาลออกหมายจับตนในข้อหา ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม อันมีโทษจำคุกถึง 10 ปี ตนก็ขอดูหมายจับแต่พบข้อพิรุธว่า ชื่อและนามสกุล ตามหมายจับไม่ถูกต้อง เพราะในหมายจับพิมพ์ชื่อว่า “นายกฤษดา นามสกุล อินทามะระ“ไม่ตรงกับชื่อ-นามสกุล จริงของตน คือ ”นายกฤษฎา อินทามระ” ก่อนจะสอบถามหมายเลขบัตรประจำตัวประชาชนว่าถูกต้องหรือไม่
ตนตรวจดูแล้วเห็นว่าถูกต้อง ตำรวจชุดจับกุมจึงปฎิบัติตามหมายจับด้วยการทำบันทึกจับกุมและเรียกให้ตำรวจจาก กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปทุมธานี (บก.ภ.จว.ปทุมธานี) มารับตนไปเพื่อไปส่งที่ สภ.เมืองปทุมธานี ก่อนจะได้ประกันตัวในเวลาประมาณ 17.00 โดยใช้หลักทรัพย์เป็นเงินสด จำนวน 100,000 บาท
วันนี้ ตนจึงต้องมาเรียกร้องขอความยุติธรรมให้กับตัวเอง โดยใช้สิทธิตามกฎหมายเพื่อดำเนินคดีกับนายตำรวจ ยศ พ.ต.อ.ทั้งสามนาย ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการออกหมายจับ
เนื่องจากนายตำรวจทั้งสามนายไม่ปฎิบัติตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติที่ 419/2556 เรื่อง การอำนวยความยุติธรรมในคดีอาญา การทำสำนวนการสอบสวนและมาตรการควบคุมตรวจสอบเร่งรัดการสอบสวนคดีอาญา ในประเด็นการทำสำนวนการสอบสวน โดยคำสั่ง ตร.ที่ 419/2556 กำหนดไว้ว่าเมื่อได้ทำการสอบสวนเสร็จสิ้นแล้ว ให้รวบรวมเอกสารต่างๆในการสอบสวนรวมเข้าไว้ในสำนวนการสอบสวน ถ้าเป็นสิ่งของอื่นให้ทำบัญชีรายละเอียดไว้ด้วยโดยจัดทำเป็นบันทึกรายละเอียดพยานของกลาง ในกรณีนี้ก็คือ ตั๋วเงินปลอม แต่ ผกก.ทั้งสามนายกลับทำสำนวนการสอบสวนโดยไร้ซึ่งของกลาง ตั๋วเงินปลอมที่กล่าวหาว่าตนเป็นผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอมในคดีนี้
การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง ตร.ที่ 419/2556 ถือเป็นการปฎิบัติหรือละเว้นการปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต โดยมีเจตนาพิเศษต้องการให้ตนได้รับโทษหนักขึ้นเพราะ ข้อหาปลอมตั๋วเงินมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 ปี ถึง 10 ปี
ส่วนประเด็นการอออกหมายจับ ผกก.ทั้งสามนาย ก็ใช้วิชาเดิมๆในการร้องขอให้ศาลออกหมายจับเหมือนกรณีตัวอย่างข้างต้น คือ ผกก.ทั้งสามนายอ้าง
โดย ผกก.ทั้งสามนายอ้างต่อศาล ว่าเป็นคดีที่มีอัตราโทษจำคุกสูงเกินสามปีสามารถเสนอศาลให้ออกหมายจับได้โดยไม่ต้องมีหมายเรียกก่อน
ซึ่งในความเป็นจริงคดีดังกล่าว ตนเป็นผู้นำพยานบุคคล 4-5 ปากไปให้การกับ ผกก.ทั้งสามนายสอบปากคำ ส่วนตัวตนก็ไปให้การเป็นพยานด้วย โดยเฉพาะเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ตนก็ประสานความร่วมมือกับตำรวจ สภ.เมืองปทุมธานี พาผู้ต้องหาที่ 1 ไปที่ สภ.เมืองและพาตัวไปส่งตัวให้พนักงานอัยการ จังหวัดปทุมธานีในวันเดียวกันด้วย แต่ตนก็ไม่ถูกจับกุมตามหมายจับ ทั้งที่หมายจับได้ออกมาก่อนแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ธ.ค.63 นานร่วม 2 เดือน จึงแสดงให้เห็นว่าการออกหมายจับตนนั้น ผกก.ทั้งสามนายต้องการกลั่นแกล้งให้ตนได้รับความเสียหายเป็นกรณีพิเศษ เชื่อมโยงไปถึงข้อความในหมายจับซึ่งตำรวจใช้อ้างต่อศาลเป็นประจำคือ น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี น่าเชื่อว่าผู้ต้องหาจะไปยุ่งเหยิงกับพยาน ศาลจึงออกหมายจับให้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตนก็ทำงานตามปกตินับตั้งแต่มีหมายจับฉบับนี้ออกมา โดยเฉพาะสื่อมวลชนก็มีการเสนอข่าวการทำหน้าที่ในการปราบปรามเจ้าหน้าที่รัฐหลายคดีนับตั้งแต่ปี 65-66 และเป็นข่าวไปทั่วประเทศ มีผู้สนใจติดตามข่าวการทำหน้าที่ของตนในการปราบปรามการทุจริตภาครัฐจำนวนมาก
ดังนั้น พฤติการณ์ของ ผกก.ทั้งสามนายที่มีการร้องขอต่อศาลให้ออกหมายจับในครั้งนี้จึงมีข้อพิรุธอย่างยิ่ง ดังนั้นเพื่อไม่ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกหมายจับผู้ต้องหาโดยไม่เป็นธรรมแบบนี้เรื่อยไป ตนจึงต้องแจ้งความร้องทุกข์ที่ บก.ปปป.ดำเนินคดีกับ ผกก.ทั้งสามนายในข้อหาตามมาตรา 157 ให้ถึงที่สุด เบื้องต้นพนักงานสอบสวนสอบปากคำผู้แจ้งก่อนดำเนินการตามกฎหมายต่อไป