ตำรวจสืบสวนนครบาลจับกุมชายเร่ร่อนวัย 39 ปี ตระเวนลักทรัพย์ หลอกลวงเหยื่อไปข่มขืน ก่อเหตุทั่วพื้นที่กรุงเทพฯ
วันนี้ (17 ม.ค.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก สส.บช.น. พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.1 สั่งการให้ พ.ต.ต.พิสิทธิ์ เตชะ สว.กก.สส.1 บก.สส.บช.น. พร้อมตำรวจ ชป.1 บก.สส.บช.น. ร่วมกันจับกุม นายมนัส หรือ ปลา อายุ 39 ปี ชาว อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน โดยกล่าวหาว่า “ข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่น โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ หรือโดยทำให้ผู้อื่นนั้นเข้าใจผิดว่าตนเป็นบุคคลอื่น”
การจับกัุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเพจสืบนครบาลรับแจ้งว่ามีชายเร่ร่อนตระเวนก่อคดีลักทรัพย์ หลอกลวง ตลอดจนข่มขืนในพื้นที่ สน.ตลิ่นชัน สน.พระราชวัง และ สน.บางยี่ขัน โดยใช้เฟซบุ๊กหลอกลวงผู้เสียหายอ้างว่าเป็นตำรวจสามารถช่วยให้คำปรึกษาเรื่องคดีความได้ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจึงนัดพบที่ห้องพักย่านตลิ่งชันก่อนก่อเหตุข่มขืน ต่อมาสืบทราบว่า ตรวจสอบทราบว่าผู้ก่อเหตุคือนายมนัส แต่หลบหนีการจับกุมมาโดยตลอด
ต่อมาชุดจับกุมสืบทราบว่า นายมนัสหลบหนีการจับกุมด้วยการแฝงตัวเป็นคนเร่ร่อน อาศัยนอนและหาข้าวกินตามสถานที่ที่แจกอาหารให้กับคนเร่ร่อนบริเวณพื้นที่เขตพระนคร นอกจากนี้ยังพบว่ามีการก่อเหตุลักทรัพย์และหลอกลวงประชาชนในพื้นที่อยู่อีกหลายครั้ง จึงตรวจสอบพบผู้ต้องหานั่งพักอยู่ริมถนนข้างวัดชนะสงคราม ซอยรามบุตรี ถนนจักรพงษ์ แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. จึงจับกุมแจ้งข้อหาและแจ้งสิทธิให้ทราบ
จากการสอบปากคำนายมนัสให้การว่า ปัจจุบันตกงาน ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง อาศัยนอนอยู่ตามร้านสะดวกซื้อบริเวณสนามหลวง สะพานพระราม 8 จรัญสนิทวงศ์ ฯลฯ และอาศัยกินข้าวตามสถานที่ที่มีการแจกข้าวเป็นระยะเวลามานานหลายเดือนแล้ว
เบื้องต้นยอมรับว่า กระทำความผิดตามหมายจับจริง เพราะตกงานและต้องการเงินจริงๆ ยังเคยเข้าไปตีสนิทกับนักท่องเที่ยวเพื่ออาศัยกินดื่มฟรี เมื่อสบโอกาสนักท่องเที่ยวเมาจะใช้จังหวะเผลอลักทรัพย์ติดตัวมาจำนวนหลายครั้ง แต่ผู้เสียหายอาจไม่ได้แจ้งความและให้การว่าเคยมีพฤติการณ์เปิดโรงแรมเพื่อนอนพักหลายครั้งแล้วหลบหนีออกมาโดยไม่ได้จ่ายเงิน
นอกจากนั้นยังเคยมีพฤติการณ์เข้าไปตีสนิทกับผู้คนต่างๆ โดยอ้างว่าเป็นครูพละ เพิ่งมาบรรจุใหม่ เพื่อเรียกความน่าเชื่อถือ ทำทียืมเงินแล้วก็หลบหนีไป ส่วนคดีข่มขืนนั้น ขอให้การภาคเสธ
ทั้งนี้จากการตรวจสอบพบว่า ผู้ต้องหาเคยก่อเหตุตาม 1.หมายจับศาลอาญา ลงวันที่ 6 มิ.ย.2566 สน.พระราชวัง ข้อหา “ลักทรัพย์ในเวลากลางคืน” โดยทำทีเข้าไปซื้อของในร้านขายจิวเวลรี่และของเก่าย่านวังบูรพา เมื่อสบโอกาสจึงลักเอาเข็มขัดเงินมูลค่าประมาณ 12,000 บาท หลบหนีไป 2.หมายจับศาลอาญาตลิ่งชัน ลงวันที่ 18 ต.ค.2566 สน.บางยี่ขัน ข้อหา “ลักทรัพย์ และเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ที่มีมาตรการป้องกันและการเข้าถึงโดยเฉพาะและมาตรการนั้นมิได้มีไว้สำหรับตน ทำให้เสียหายทำลายแก้ไขเปลี่ยนแปลง หรือเพิ่มเติมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ของผู้อื่นโดยมิชอบ และใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ของผู้อื่นโดยมิชอบในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ได้ออกให้แก่ผู้มีสิทธิใช้เพื่อประโยชน์ในการชำระค่าสินค้า ค่าบริการ หรือหนี้อื่นแทนการชำระด้วยเงินสดหรือใช้เบิกถอนเงินสด” โดยหลอกลวงเอาโทรศัพท์จากผู้เสียหายอายุประมาณ 77 ปี อ้างว่ารู้จักกันและเป็นเจ้าของห้องเช่าที่เช่าอยู่ตอนนั้น โดยหลอกลวงว่าจะอัพเดตระบบให้แต่ฉวยจังหวะผู้เสียหายเผลอเข้าไปใช้งานแอพพลิเคชั่นเบิกถอนเงินสด แล้วโอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง ยอดประมาณ 55,000 บาท
ทั้งนี้ได้ตรวจสอบประวัติจากฐานข้อมูลคดีของสำนักงานตำรวจแห่งชาติพบว่า นายมนัสเคยมีประวัติคดีลักทรัพย์มาแล้วหลายครั้ง ในหลายท้องที่ ล่าสุดถูกจับเมื่อปี 2565 พื้นที่ สน.บางขุนนนท์ จากนั้น นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สน.ตลิ่งชันเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป