อัยการสั่งฟ้อง"เหมืองทองอัครา"สำนวนเเรก 4 ผู้ต้องหา ยึดที่ดินรัฐ-ครอบครองป่า-สร้างตะแกรงรุกทางหลวง นัดส่งตัวฟ้อง 24 ม.ค.ปีหน้า
วันนี้ (31 ธ.ค.) นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษได้เปิดเผยความคืบหน้าขั้นตอนภายหลังพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นคดีพิเศษที่ 17 /2559ที่มีการหา บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)กับพวกรวม 4 คน ผู้ต้องหา ในความผิดฐาน
1. ร่วมกันยึดถือครอบครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิด ตามมาตรา 9 ประกอบมาตรา 108 ทวิ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน, ร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ อันเป็นความผิดตามมาตรา 360 , 83 แห่งประมวลกฎหมาย
อาญา
2.ร่วมกันยึดถือครอบครองพื้นที่ป่าไม้ถาวรโดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็นความผิดตามมาตรา 54, 55, 72ตรี แห่ง พรบ.ป่าไม้ พ.ศ.2484
3. ร่วมกันก่อสร้างตะแกรงรุกล้ำเข้าไปในเขตทางหลวงโดยไม่ได้รับอนุญาติอันเป็นความผิดตามมาตรา 47 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 72 แห่ง พ.ร.บ.ทางหลวง พ.ศ.2535 และร่วมกันทำให้เสียหาย ทำลาย ทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งทรัพย์สินที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณะประโยชน์ อันเป็นความผิดตาม
มาตรา 360 , 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา
คดีนี้ทางดีเอสไอได้นำสอบสวนมาตั้งแต่ปี 2559 และส่งมาทางให้พนักงานอัยการคดีพิเศษเมื่อปี 2561
ซึ่งภายหลังจากที่ได้มีการส่งสำนวนให้ทางสำนักงาน อัยการคดีพิเศษก็ได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาตรวจพิจารณา โดยอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษและคณะทำงานก็มีการเปลี่ยนเเปลงคณะทำงาน เนื่องจากมีการโยกย้ายกันตามวาระ แต่คดีนี้ได้มีการสอบสวนเพิ่มเติมมาหลายครั้ง ซึ่งต้องใช้เวลาในการสอบสวนเนื่องจากมีการขอความเป็นธรรมทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด
ไม่ว่าจะเป็นจากชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบในละแวกที่เกิดเหตุ และทางฝั่งผู้ต้องหาก็มีการขอความเป็นธรรมด้วยเมื่อได้พิจารณาตรวจสำนวนโดยคณะทำงานดูแล้วพนักงานอัยการก็มีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนดีเอสไอทำการสอบสวนเพิ่มเติมเรื่อยมาเฉพาะในประเด็นที่สำคัญที่สามารถบ่งชี้ได้ว่าผู้ต้องหากระทำความผิดหรือบริสุทธิ์ ซึ่งมีการสอบสวนเพิ่มเติมมาโดยตลอดเลยเมื่อจนเมื่อเร็วๆนี้ ทางคณะทำงานอัยการก็ได้รับผลการสอบสวนเพิ่มเติม จากนั้นเราก็ได้มีการร่วมพิจารณาพยานหลักฐานโดยคณะทำงานก็คืออัยการสำนักงาน คดีพิเศษฝ่าย4 เจ้าของสำนวน โดยมีรองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษเป็นหัวหน้าคณะทำงาน และตนในฐานะอธิบดีอัยการคดีพิเศษก็ได้ร่วมพิจารณาประชุมกันในสำนวนคดีนี้ด้วย เมื่อได้พิจารณาตรวจสำนวนแล้วปรากฏว่าสำนวนหลักฐานที่ส่งมาพอฟ้องผู้ต้องหาทั้ง4 คนตามข้อกล่าวหาทั้งหมด3 ข้อหา
จึงมีคำสั่งให้พนักงานสอบสวนมีการเรียกตัวผู้ต้องหา 3 คนที่มีตัว มาพบพนักงานอัยการในวันที่ 24 ม.ค. 2567 เวลา 10.00น. เพื่อนำตัวยื่นฟ้องศาล ในส่วนมีผู้ต้องหา 1รายคือผู้ต้องที่ 3 ที่หลบหนี ทางพนักงานอัยการก็ให้พนักงานสอบสวนไปดำเนินการขอออกหมายจับมาภายในอายุความ 10 ปีซึ่งทราบว่าได้มีการออกหมายจับเเล้ว
อยากเรียนว่าสำหรับคดีนี้เป็นคดีที่มีพยานเอกสารจำนวนมาก มีประเด็นที่มันสลับซับซ้อน เป็นประเด็นสำคัญที่เป็นคดีระดับประเทศ ดังนั้นพนักงานอัยการจึงต้องพิจารณาสำนวนนี้อย่างรอบคอบและละเอียดละเอียดถี่ถ้วนด้วยความอุตสาหะและความตั้งใจ ซึ่งสังกัดพนักงานอัยการสำนักงานคดีพิเศษ 4 โดยมีการร่วมพิจารณาสำนวนกับหัวหน้าคณะทำงานก็คือรองอธิบดีอัยการคดีพิเศษและตนร่วมประชุมจนสั่งคดีนี้ได้
ต้องขอขอบอัยการทุกคนที่ได้ร่วมกันทำงานเเละเร่งรัดติดตามมาโดยตลอดอย่างแข็งขัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสำหรับคดีนี้เป็นคดีเหมืองทองอัคราสำนวนเเรกที่ทางอัยการพิจารณาเเล้วเสร็จ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการสอบสวนเพิ่มเติมมาเป็นเวลานานและมาเสร็จสิ้น พร้อมกับมีการสั่งคดี ในสมัยของ นายวิรุฬห์ เป็นอธิบดีอัยการสำนักงานคดีพิเศษ
โดยมีผู้ต้องหาทั้งหมด4 รายประกอบด้วย
1.บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาที่ 1
2.นายปกรณ์ สุขุม ผู้ต้องหาที่ 2
3.นายไมเคิล แพรทริค โมโนกาน ผู้ต้องหาที่ 3
4. นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้ต้องหาที่ 4
โดยในส่วนความผิดกรณีการเข้ายึดถือครอบครองที่ป่า และออกเอกสารสิทธิ์โฉนดที่ดินทับที่ป่า ในแปลงประทานบัตร 26920/15807 และแปลงประทาน
บัตรที่ 26922/15805ได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาดำเนินการ และกรณีความผิดเกี่ยวกับ พรบ.โรงงาน พ.ศ.2535 และ พ.ร.บ. ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2535 และความผิดที่เกี่ยวข้อง ได้อนุมัติให้แยกเลขคดีพิเศษ เพื่อทำการสอบสวนต่อไป