โฆษกอัยการ รอตำรวจชี้เป้า “เสี่ยเเป้ง” หลบหนีไปประเทศใด หากหนีไปอินโดนีเซีย มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน มั่นใจประสานงานนำตัวกลับมาดำเนินคดีได้
กรณีมีรายงานข่าวว่า นายเชาวลิต ทองด้วง หรือ “เสี่ยแป้ง นาโหนด” จำเลยต้องโทษคำพิพากษาของศาลจังหวัดพัทลุง หลบหนีการคุมขัง โดยนั่งเรือสปีดโบ๊ตที่ท่าเรือบ้านบากันโต๊ะทิด อ.ละงู จ.สตูล หลบหนีไปยังประเทศอินโดนีเซียแล้ว เเม้จะยังไม่มีการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเป็นทางการ
วันนี้ (5 ธ.ค.) นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้อธิบายข้อกฎหมายเกี่ยวกับการติดตามตัวผู้ร้ายข้ามแดนว่า กรณีที่คนร้ายที่กระทำผิดอาญา อย่างเช่น นายชวลิต ทองด้วง หรือ “เสี่ยแป้ง นาโหนด” ถือว่าเป็นผู้ต้องคำพิพากษาของศาลจังหวัดพัทลุงที่ถูกศาลตัดสินมีคำพิพากษาจำคุก 20 ปี และหลบหนี ซึ่งหากมีการหลบหนีออกรอกประเทศจริง ตรงนี้เรียกว่าคนร้ายหลบหนีไปอยู่ต่างแดน ขั้นตอนการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมารับโทษหรือมาเข้าสู่กระบวนการดำเนินคดีในประเทศไทย ในหลักกฎหมายนั้นการที่จะเริ่มต้นดำเนินการมีการส่งคำขอให้ประเทศที่รับคำขอหรือประเทศที่คนร้ายเข้าไปหลบอยู่ จะต้องเริ่มต้นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ในการติดตามจับกุมตัวคนร้าย จะต้องสืบสวนประสานงานตำรวจสากลให้ทราบแน่ชัดก่อนว่า คนร้ายหลบไปพำนักอยู่ประเทศใดหน้าที่ในการสืบหาว่าเวลานี้ เสี่ยแป้ง อยู่พิกัดยืนยันให้แน่ชัดเป็นหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
ประการที่ 2 หากสำนักงานตำรวจแห่งชาติทราบพิกัดแน่ชัดแล้วอย่างเช่นกรณีที่สื่อมวลชนรายงานว่า ตอนนี้เสี่ยแป้งหลบไปอยู่อินโดนีเซีย ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ก็จะส่งเรื่องมายังถึงสำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะที่อัยการสูงสุดเป็นผู้ประสานงานกลางตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนคำว่าผู้ประสานงานกลางหมายความว่ากฎหมายกำหนดให้อัยการสูงสุด แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ในการที่จะมีคำขอจากประเทศไทย มีคำขอไปยังประเทศที่คนร้ายหลบหนีอยู่
เรามีแนวปฏิบัติอยู่ 2 ประการ ประการแรกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ยืนยันแน่ชัดว่าคนร้ายหลบไปอยู่ประเทศไหนแน่นอนแล้วเช่น อินโดนีเซีย อัยการสูงสุดก็จะดูว่าประเทศไทยกับประเทศปลายทางที่จะเป็นผู้รับคำขอ ก็คือประเทศที่คนร้ายหลบอยู่มีสนธิสัญญาระหว่างกันหรือไม่
หาก “เสี่ยแป้ง นาโหนด” หลบหนีอยู่ที่อินโดนีเซีย ก็สามารถที่จะดำเนินการมีคำขอให้อินโดนีเซียส่งผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาให้เราได้ เพราะเรามีสนธิสัญญาระหว่างกัน โดยสนธิสัญญาของเราทำกันไว้ตั้งแต่วันที่ 29 มิ.ย. 2519 สรุปก็คือ เรามีสนธิสัญญาระหว่างประเทศไทยกับประเทศอินโดนีเซียในเรื่องของหลักการการส่งผู้ร้ายข้ามแดนหมายความว่า ในกรณีของคนร้ายที่หลบหนีจากประเทศไทยไปอยู่อินโดนีเซียหรือคนร้ายหลบหนีจากอินโดนีเซียมาอยู่ประเทศไทย การส่งผู้ร้ายข้ามแดนเรามีแนวปฏิบัติชัดเจนตามหลักเกณฑ์ที่ระบุไว้ในสนธิสัญญาระหว่างกัน
“เพราะฉะนั้นถ้าสำนักงานตำรวจเเห่งชาติสืบทราบแน่ชัดว่าคนร้ายหลบหนีไปอยู่ประเทศไหนหากชัดแล้วก็จะส่งเรื่องมาที่อัยการสูงสุด สำนักงานอัยการสูงสุดของเรามีสำนักงานต่างประเทศซึ่งมีพนักงานอัยการที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ ผ่านการทำงานด้านนี้มาหลายคดีจึงมั่นใจได้ว่าถ้าหากมีข้อมูลชัดเจนแล้วให้ส่งมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด
ทีมงานของสำนักงานอัยการต่างประเทศก็จะมีพนักงานที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเพียงพอที่จะดำเนินการได้ทันที ที่ผ่านมาเราก็มีประสบการณ์ เช่น การติดตามการขอส่งตัว ราเกซ สักเสนา พ่อมดการเงิน ที่ทุจริตโกงบีบีซี กลับมาประเทศไทยหรือการดำเนินการคดี ที่มีผู้บริหารธนาคาร หรือแม้แต่เณรคำ อัยการเราก็ทำมา ซึ่งไม่ต้องกังวล ตรงนี้สำนักงานอัยการสูงสุดมีทีมงานพร้อม”
นายประยุทธ กล่าวต่อว่า เมื่อมีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน การประสานงานก็จะประสานงานตรงระหว่างประเทศไทยกับอินโดนีเซียเลย ซึ่งมีขั้นตอนปฏิบัติระหว่างกันอยู่แล้ว สามารถทำตามข้อตกลงที่มีในส่วนที่สัญญาได้เลย
ในส่วนด้านความสัมพันธ์ของประเทศไทยกับอินโดนีเซีย ต้องเรียนว่าโดยเฉพาะพนักงานอัยการประเทศไทยกับทีมพนักงานอัยการประเทศอินโดนีเซียมีความสนิทสนมและมีความร่วมมือประสานงานกันอย่างดีมาเป็นเวลายาวนานมีหลายหลักสูตรของสำนักงานอัยการสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรอบรมอธิบดีอัยการ หลักสูตรอัยการจังหวัด ทางอัยการอินโดนีเซียก็ส่งพนักงานอัยการมาเรียนร่วมกันกับทางอัยการไทยเราหลายหลักสูตร รวมทั้งเวลาอินโดนีเซียมีอบรมหลักสูตรผู้บริหารทางอัยการประเทศไทยเองก็มีการส่งทีมของอัยการประเทศไทยไปร่วมอบรมกับทางอินโดนีเซียมีการประสานงานความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดเรียกว่าสัมพันธ์ภาพดีมาก และยิ่งเรามีสนธิสัญญาระหว่างกันยิ่ง ให้มั่นใจได้ว่าสามารถประสานงานกันได้อย่างราบรื่น
ส่วนประเทศมาเลเซียหรือลังกาวี ประเทศไทยกับประเทศมาเลเซียมีสนธิสัญญาระหว่างเรากับมาเลเซียในการปฏิบัติต่อกันในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนมีข้อตกลงกันตั้งเเต่สมัยเป็นราชอาณาจักรสยาม ซึ่งมีสนธิสัญญาระหว่างกันระหว่างกรุงสยามกลับกลับประเทศอังกฤษหรือสหราชอาณาจักร ซึ่งเป็นประเทศผู้ปกครองมาเลเซียในยุคอาณานิคม ฉนั้นประเทศไทยก็เคยทำสนธิสัญญาระหว่างกรุงสยามกับอังกฤษ ร.ศ. 129 หรือปีคริสต์ศักราช 1911 เรามีสนธิสัญญาเรื่องระหว่างส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างไทยกับอังกฤษอยู่แล้ว
ดังนั้น เมื่อประเทศมาเลเซียเป็นเอกราชการส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็สืบสิทธิตามสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนระหว่างสยามกับอังกฤษ พูดง่ายๆก็คือไทยกับมาเลเซียก็มีสัญญาหรือข้อตกลงในเรื่องการส่งผู้ร้ายข้ามแดนเช่นเดียวกัน ตรงนี้ขั้นตอนการดำเนินการก็ไม่ต่างกับอินโดนีเซีย ซึ่งลังกาวีก็เป็นส่วนหนึ่งของมาเลเซียถ้าถ้าหนีไปอยู่ลังกาวีก็เท่ากับว่าอยู่ในประเทศมาเลเซีย ก็ใช้การสืบสิทธิของกรุงสยามและอังกฤษ
นายประยุทธ กล่าวเพิ่มเติมว่า คนร้ายที่หนีไปในประเทศที่ไม่มีสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็จะมีเเนวอีกช่องทางหนึ่ง คือ ใช้ช่องทางทางการทูต ซึ่งมีแนวทางในการปฏิบัติที่เป็นสากลอยู่แล้ว ก็คือ ทางตำรวจหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติสืบพิกัดว่าผู้ต้องการตัวอยู่ประเทศใด และแจ้งมาที่สำนักงานอัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลาง ก็จะดำเนินการผ่านกระทรวงต่างประเทศใช้หลักการทูตเป็นลักษณะข้อตกลงของการตอบแทน นั่นหมายความว่าเเม้เราไม่มีสนธิสัญญาก็จริงแต่เมื่อคนร้ายเราตกไปอยู่ประเทศเขา เราก็ขอให้เขาในฐานะประเทศผู้รับคำขอ ช่วยส่งคนร้ายให้เรา และเราให้คำมั่นหรือให้สัญญาหรือข้อตกลงว่าเมื่อใดก็ตามในอนาคตหรือในภายภาคหน้า หากมีคนร้ายที่ประเทศปลายทางต้องการตัวมาหลบมาอยู่ประเทศเราบ้าง เราก็จะ ให้ความร่วมมือ กรณีคนร้ายหลบไปอยู่ต่างประเทศไม่ว่าคนร้ายจะอยู่ในประเทศที่มีสนธิสัญญากับเราหรือไม่มีสนธิสัญญากับเราก็ตามเพียงแต่ทางสำนักงานตรวจแห่งชาติที่จุดพิกัดว่าอยู่ที่ไหนแน่ชัดแจ้งมาที่สำนักงานอัยการสูงสุด โดย อัยการสูงสุดในฐานะผู้ประสานงานกลางก็จะมอบหมายให้สำนักงานต่างประเทศดำเนินการ