xs
xsm
sm
md
lg

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ยืน จำคุก "ประหยัด พวงจำปา" รองเลขาฯ ป.ป.ช. 4 เดือน ปรับ 1 หมื่น แต่รอลงอาญา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


 นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาฯ ป.ป.ช.
องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์พิพากษายืน จำคุก "ประหยัด พวงจำปา" รองเลขาฯ ป.ป.ช. 4 เดือน ปรับ 1 หมื่น ชี้เจตนาปกปิดข้อเท็จจริง ทรัพย์สินห้องชุดและบัญชีเงินฝากทั้ง 3 บัญชีที่ประเทศอังกฤษ แต่ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน จึงรอลงอาญาไว้ 1 ปี

ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง เมื่อเวลา 10.30 น.วันนี้ (30 พ.ย.) องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์ซึ่งได้รับเลือกจากที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา นัดอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อม.อธ.5/2566 ที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ ฟ้อง นายประหยัด พวงจำปา รองเลขาธิการป.ป.ช. เป็นจำเลย ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา

อัยการสูงสุด โจทก์ฟ้องว่า นายประหยัด จำเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน กรณีเข้ารับตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ด้วยข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน 6 รายการ ของนางธนิภา พวงจำปา คู่สมรสจำเลย ขอให้ลงโทษตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 43,81,158,167,188,194 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2562 มาตรา 40,41,42,119 ขอให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งและสิทธิเลือกตั้งของจำเลย มีกำหนดเวลาไม่เกิน 10 ปี และขอให้พ้นจากตำแหน่งนับแต่วันหยุดปฏิบัติหน้าที่

คดีนี้ปรากฎว่า เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2566 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาว่า จำเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและเอกสารประกอบต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สิน ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 40,41 ประกอบพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 43,114 วรรคหนึ่ง,158 มีผลให้จำเลยพ้นจากตำแหน่งนับแต่วันที่มีคำวินิจฉัย และห้ามมิให้จำเลยดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่พ้นจากตำแหน่ง องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นควรลงโทษจำคุก 4 เดือน และปรับ 10,000 บาท เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี

ต่อมาจำเลยยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา ส่วนประเด็นรายการบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) สาขาเซ็นทรัล ปิ่นเกล้า ประเภทกระแสรายวัน และเงินลงทุนในบริษัทปาล์ม บีช คอร์ปอเรชั่น จำกัดนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองวินิจฉัยว่าไม่เป็นความผิดตามฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ คดีในส่วนทรัพย์สินทั้ง 2 รายการจึงเป็นอันยุติไป

โดยวันนี้ นายประหยัด จำเลย เดินทางมาฟังคำวินิจฉัยอุทธรณ์ตามนัด

จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 43 และมาตรา 158 ให้แยกการตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของพนักงานเจ้าหน้าที่กับคณะกรรมการ ป.ป.ช. ไว้ต่างหากจากกัน เฉพาะคณะกรรมการ ป.ป.ช.เท่านั้น ที่กฎหมายบัญญัติชัดแจ้งให้ประธานวุฒิสภาเป็นผู้ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดดำเนินการฟ้องคดี ส่วนกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่กฎหมายให้อำนาจคณะกรรมการ ป.ป.ช. ตรวจสอบไต่สวนและวินิจฉัยได้เองทำนองเดียวกับกรณีพนักงานเจ้าหน้าที่ร่ำรวยผิดปกติ กระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามมาตรา 159 หรือจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบแทนตนก็ได้ ที่มาตรา 158 บัญญัติให้นำความในมาตรา 43 มาใช้โดยอนุโลม จึงหมายถึงขั้นตอนการดำเนินคดีที่ให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเท่านั้น แม้ในชั้นร่างกฎหมายให้หน่วยงานที่ไม่ใช่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ใช้อำนาจตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของพนักงานเจ้าหน้าที่แต่หลักการนี้ก็ไม่ได้นำมาบัญญัติไว้ในกฎหมาย ส่วนข้ออภิปรายส่วนตัวของคณะกรรมการร่างกฎหมายไม่ใช่ถ้อยคำหรือเจตนารมณ์ของกฎหมาย ไม่อาจใช้อ้างในการตีความกฎหมายได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.จึงมีอำนาจส่งเรื่องให้อัยการสูงสุดฟ้องคดีได้ ไม่จำต้องส่งให้ประธานวุฒิสภาพิจารณาก่อน และการออกระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติที่เกี่ยวข้องกับเรื่องดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์มีอำนาจฟ้อง อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การไต่สวน การแจ้งข้อกล่าวหา และการชี้มูลความผิดจำเลยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า ระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตรวจสอบความถูกต้องและความมีอยู่จริงรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงของทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน พ.ศ.2555 ข้อ 23 ข้อ 24 และข้อ 25 หรือระเบียบคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ว่าด้วยการตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินของเจ้าพนักงานของรัฐและการดำเนินคดีที่เกี่ยวข้องกับการยื่นบัญชี พ.ศ. 2561 ข้อ 28 และข้อ 29 ที่กำหนดให้การขอข้อมูลต้องเสนอความเห็นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาก่อนนั้น หมายถึงกรณีผู้ตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินจำเป็นต้องขอความร่วมมือหรือใช้อำนาจเรียกข้อมูลมาเท่านั้น ส่วนกรณีที่หน่วยงานหรือบุคคลภายนอกส่งข้อมูลมาให้เองนั้น ไม่มีกฎหมายหรือระเบียบข้อใดห้ามกระทำการเช่นนั้น การตรวจสอบทรัพย์สินและหนี้สินจะใช้เวลารวดเร็วหรือล่าช้าย่อมขึ้นอยู่กับความยากง่ายหรือความสลับซับซ้อนของข้อเท็จจริงแต่ละกรณี จำเลยขอขยายระยะเวลาการส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมประกอบคำชี้แจงเพิ่มเติมหลายครั้ง รวมทั้งมีหนังสือขอความเป็นธรรม ขอเลื่อนการรับทราบข้อกล่าวหาอีก 2 ครั้ง แสดงว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. ให้โอกาสจำเลยชี้แจงแสดงเหตุผลและโต้แย้งพยานเอกสารตามสมควรแล้ว การไต่สวน การแจ้งข้อกล่าวหา การชี้มูลความผิดจำเลยของคณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินคู่สมรส รายการห้องชุดเลขที่ 68 ในอาคารชุด Wolfe House 389 Kensington High Street ลอนดอน สหราชอาณาจักร และบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาลอนดอน สหราชอาณาจักร ประเภทกระแสรายวัน 1 บัญชี ประเภทออมทรัพย์ 2 บัญชีหรือไม่

องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากเห็นว่า เหตุที่นางธนิภา คู่สมรส มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ห้องชุดและมีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝาก สืบเนื่องจากมีการจองและวางมัดจำห้องชุดไว้แต่ไม่มีเงินชำระค่าห้องชุดที่เหลือนางธนิภา คู่สมรสจึงกู้เงินโดยรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดมาเป็นของตนเองเพื่อจดทะเบียนจำนองไว้ต่อธนาคารกรุงเทพฯ สาขาลอนดอน พร้อมกับขอเปิดบัญชีเงินฝากทั้ง 3 บัญชีสำหรับรับเงินกู้ยืมและชำระหนี้แม้นางธนิภา คู่สมรสจำเลยมิได้เดินทางไปทำนิติกรรมด้วยตนเอง มีผู้อื่นเป็นผู้ประสานงาน กรอกและรวบรวมเอกสารส่วนตัวของนางธนิภา คู่สมรส แต่ผู้จัดการธนาคารกรุงเทพฯ สาขาลอนดอน เบิกความรับรองความถูกต้องของนิติกรรมดังกล่าว นางธนิภา คู่สมรส ย่อมต้องรับผิดในฐานะผู้กู้ยืมโดยตรง การที่มีผู้ทำสัญญาแบ่งผลประโยชน์แก่นางธนิภา คู่สมรส ร้อยละ 10 ของกำไรที่ได้จากการขายห้องชุดตามสัญญาแบ่งผลประโยชน์นั้น ไม่น่าเชื่อว่านางธนิภา คู่สมรส จะยอมเป็นตัวแทนถือกรรมสิทธิ์แทนผู้อื่นและผูกพันตนรับผิดตามสัญญากู้มากถึง 3,150,000 ปอนด์สเตอร์ลิง โดยหวังจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราร้อยละ 10 ของผลกำไรจากการขายห้องชุดซึ่งเป็นเรื่องในอนาคต ไม่แน่นอนว่าจะขายได้หรือมีกำไรหรือไม่ ส่วนที่กรรมการบริษัทเอกชนอ้างว่าเป็นเจ้าของห้องชุดแท้จริง โดยขอกู้เงินจากธนาคารกรุงเทพฯ สาขาลอนดอน แต่ถูกปฏิเสธนั้นไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าห้องชุดตกเป็นของบริษัทเอกชนดังกล่าวได้อย่างไร เมื่อธนาคารให้กู้ยืมเงินแก่นางธนิภา คู่สมรส เงินที่กู้มาชำระค่าห้องชุดจึงถือว่าเป็นเงินของนางธนิภา คู่สมรส เป็นผู้ชำระค่าซื้อห้องชุดและเป็นเจ้าของห้องชุด แม้หากจะฟังว่ามีบุคคลอื่นชำระหนี้บางส่วนแทนนางธนิภา คู่สมรส ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากล่าวกันต่างหาก พยานหลักฐานจากการไต่สวนรับฟังได้ว่า นางธนิภา คู่สมรส เป็นเจ้าของที่จริงในห้องชุดและบัญชีเงินฝากทั้ง 3 บัญชีมาตั้งแต่แรกจนถึงวันที่จำเลยมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินตามฟ้อง

มีปัญหาต้องวินิจฉัยข้อต่อไปว่า จำเลยมีเจตนาปกปิดไม่แจ้งข้อความจริงเกี่ยวกับห้องชุดและ บัญชีเงินฝากทั้ง 3 บัญชีตามฟ้องหรือไม่

เห็นว่า นายประหยัด จำเลย ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินย่อมมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นอย่างดี จำเลยรับว่าเดือน ก.ย. 2559 นางธนิภา คู่สมรส แจ้งให้ทราบว่ามีชื่อถือกรรมสิทธิ์ห้องชุดแทนผู้อื่น อยู่ระหว่างไถ่ถอนจำนองและโอนขายให้บุคคลภายนอก ดังนี้จำเลยจึงต้องตรวจสอบข้อมูลจากนางธนิภา คู่สมรส และธนาคารเพื่อนำหลักฐานที่เป็นอยู่ในขณะที่มีหน้าที่ยื่นบัญชีมาแสดงประกอบการยื่นบัญชี หากจำเลยจะยกข้ออ้างที่ทำให้ตนเข้าใจว่าไม่ใช่ทรัพย์สินของคู่สมรสก็จะต้องแจ้งข้อเท็จจริงนั้นไว้ด้วย เพื่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยไม่ได้จงใจที่จะปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งให้ทราบการที่จำเลยกล่าวอ้างลอยๆ ว่าเมื่อเดือน เม.ย.2561 จำเลยเพิ่งทราบเรื่องที่นางธนิภา คู่สมรส ไม่สามารถโอนห้องชุดได้ เป็นการง่ายต่อการกล่าวอ้าง ไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง กลับปรากฏข้อเท็จจริงว่านางธนิภา คู่สมรส มอบหมายให้บุคคลอื่นมีหนังสือแจ้งการโอนขายห้องชุดให้บริษัทเอกชน ก่อนที่จำเลยมีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินเพียง 1 วัน ทั้งบริษัทดังกล่าวก็มิได้ชำระค่าซื้อห้องชุดหรือไถ่ถอนจำนอง พฤติการณ์เป็นข้อพิรุธว่าเป็นการกระทำโดยมีมูลเหตุจูงใจเพื่อจะหลีกเลี่ยงการแสดงรายการทรัพย์สิน ห้องชุดของนางธนิภา คู่สมรส นอกจากนี้ จำเลยแสดงรายการทรัพย์สินรถยนต์ที่นางธนิภา คู่สมรส ขายไปแล้วแต่ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน โดยจำเลยระบุว่า "ขายแล้ว เมื่อ พ.ย 2559 อยู่ระหว่างการโอนสลับ ป้ายทะเบียน" เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีของห้องชุด จำเลยกลับมิได้แจ้งข้อเท็จจริงใดเกี่ยวกับห้องชุด และ บัญชีเงินฝากทั้งที่มีราคาสูงมากต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. จนกระทั่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับข้อมูลการทำธุรกรรมของนางธนิภาคู่สมรส จากสำนักงาน ป.ป.ง. จำเลยจึงยอมรับความมีอยู่ของห้องชุดและบัญชีเงินฝากทั้ง 3 บัญชีเป็นครั้งแรกพร้อมกับยกข้อต่อสู้เรื่องการถือกรรมสิทธิ์แทนตามสัญญาแบ่งผลประโยชน์พยานหลักฐานจากการไต่สวนฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาปกปิดไม่แจ้งความจริงเกี่ยวกับห้องชุดและบัญชีเงินฝากทั้ง 3 บัญชี ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความ อันเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จริงที่ควรแจ้งให้ทราบ และมีพฤติการณ์อันควรเชื่อได้ว่ามีเจตนาไม่แสดงที่มาแห่งทรัพย์สินหรือหนี้สินของคู่สมรส รายการห้องชุด ในอาคารชุด Wolfe HouseKensington High Street ลอนดอน สหราชอาณาจักร และบัญชีเงินฝากธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)สาขาลอนดอน สหราชอาณาจักร 3 บัญชีตามฟ้อง ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษามานั้น องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยอุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
กำลังโหลดความคิดเห็น