xs
xsm
sm
md
lg

สภาทนายความยื่นมือช่วย นศ.เภสัชฯ ถูกเจ้าของอาหารเสริมฟ้องคดี ปมร้องสื่อพบสารแอมเฟตามีนในร่างกาย เรียก 50 ล.

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


มารดาและนักศึกษาสาวคณะเภสัช วัย 19 ปี
สภาทนายความ ยื่นมือช่วยคดี นศ.เภสัชฯ ถูกฟ้องคดีอาญา และเรียกค่าเสียหายทางแพ่ง รวม 3 คดี กว่า 50 ล้านบาท หลังตรวจร่างกายก่อนเข้ามหาวิทยาลัย พบสารเมทแอมเฟตามีน แล้วไปให้ข่าวว่าน่าจะมาจากทานอาหารเสริมยี่ห้อหนึ่ง

เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (12 ต.ค.) ที่ห้องแถลงข่าว ชั้น 3 สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ นายวิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความ เปิดเผยว่า เมื่อช่วงเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา สืบเนื่องจากกรณีมารดาของนักศึกษาสาวคณะเภสัชฯ วัย 19 ปี ร้องผ่านสื่อชื่อดังอยากให้เป็นตัวกลางไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมตรวจสอบ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมผิวขาวยี่ห้อหนึ่ง หลังจากลูกสาวของตัวเองกินอาหารเสริมระยะหนึ่ง ก่อนไปตรวจร่างกายเพื่อเข้ามหาวิทยาลัย ได้กินจำนวน 1 เม็ด ตอนกลางคืน พอรุ่งเช้าเดินทางไปตรวจร่างกายเพื่อต้องการเอาผลไปแนบประกอบในการมอบตัวเรียนคณะเภสัชศาสตร์ ม.ขอนแก่น กลับพบสาร “เมทแอมเฟตามีน” ซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกันในยาบ้าอยู่ในปัสสาวะ ทำให้แพทย์ไม่กล้าออกใบรับรองแพทย์ให้ได้

ซึ่งเรื่องดังกล่าวเกิดบานปลาย หลังจากเจ้าหน้าที่เอาตัวอย่างอาหารเสริมไปตรวจ ไม่พบว่า มีสาร “เมทแอมเฟตามีน” รวมถึงผลการตรวจร่างกายของนักศึกษาสาวที่ไปตรวจที่โรงพยาบาลศูนย์บุรีรัมย์อย่างละเอียด ไม่พบว่ามีสารเมทแอมเฟตามีนในร่างกายแต่อย่างใด

ต่อมาครอบครัวนักศึกษาเภสัชฯ ถูกฟ้องบริษัทผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ โดยนักศึกษาเภสัชฯ เป็นจำเลยที่ 1 ผู้เป็นมารดาของนักศึกษา จำเลยที่ 2 ที่ศาลจังหวัดบุรีรัมย์ 2 คดี คดีแรก ความแพ่งฟ้องเรียกค่าเสียหายเป็นจำนวนเงิน 50 ล้านบาท คดีที่สอง ความอาญา ร่วมกันหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา ส่วนที่ศาลจังหวัดราชบุรี 1 คดี เป็นคดีความแพ่ง ข้อหา ละเมิด เรียกค่าเสียหาย จํานวน 6,932,500 บาท

ในวันนี้ทางมารดา และบุตรสาว จึงมาขอให้สภาทนายความช่วยเหลือ ตอนนี้ทางสภาทนายความต้องสอบถามเกี่ยวกับข้อเท็จจริงและรายละเอียดคดีก่อนให้การช่วยเหลือต่อไป ส่วนแนวทางการสู้คดีนั้นคงต้องดูที่เจตนา ทั้งนี้ ผู้เสียหายทั้งสอง ไม่มีเจตนาและหลักฐานให้ปรากฏว่าต้องการใส่ความกับบริษัทอาหารเสริมแต่อย่างใด เป็นเพียงความสงสัย และต้องการปกป้องความบริสุทธิ์ของลูกและดิ้นรนให้ลูกได้เข้าไปเรียนในสถานศึกษาตามที่สอบได้ ไม่ได้เจตนาจะหมิ่นประมาทใครแต่อย่างใด อีกทั้งลูกก็ไม่ได้เป็นเด็กกลุ่มเสี่ยงที่จะเกี่ยวข้องกับยาเสพติด เบื้องต้นตอนนี้คดีทัังหมดอยู่ระหว่างขั้นตอนการไต่สวนมูลฟ้อง


ด้าน นายสุนทร พยัคฆ์ เลขาธิการสภาทนายความ กล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ทราบว่า ทางมหาวิทยาลัยชื่อดังได้สอบสวนอย่างรอบคอบ เป็นธรรม และรับน้องผู้เสียหายไปเข้าเรียนที่คณะเภสัชศาสตร์ดังกล่าวแล้ว

มารดานักศึกษาเภสัชฯ กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมา การร้องสื่อไม่เคยเอ่ยชื่อผลิตภัณฑ์ ไม่มีภาพผลิตภัณฑ์ปรากฏ สาเหตุที่ร้องสื่อเพราะต้องการหาความชอบธรรมให้กับลูกสาว ที่ไม่เคยไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่เคยกินยาชนิดใดๆ มาก่อน ทั้งยังต้องเร่งหาความจริงโดยเร็ว

ด้าน นักศึกษาเภสัชฯ วัย 19 ปี กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเกิดข้อผิดพลาดตรงไหน เพราะกลางคืนก่อนที่จะไปตรวจร่างกายครั้งแรกที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ ตนไม่ได้กินของอย่างอื่นนอกจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารดังกล่าว แต่ตนแสดงความบริสุทธิ์ใจด้วยการให้ตรวจเลือด และปัสสาวะในการไปตรวจที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดครั้งที่ 2 ซึ่งจะครอบคลุมระยะเวลาได้มากกว่าการตรวจปัสสาวะเพียงอย่างเดียว ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่ปรากฏการพบสารเมทแอมเฟตามีน

สภาทนายความฯ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน
นอกจากนี้ นายวีรศักดิ์ โชติวานิช รองเลขาธิการสภาทนายความ กล่าวถึงกรณีหนุ่มนักจัดไฟแนนซ์ ผู้เสียหายได้ร้องเรียนเข้ามาว่า ได้ให้เพื่อนที่รู้จักคนหนึ่งเอารถยนต์ไปขายไฟแนนซ์ หรือเต็นท์รถ เพื่อจะได้เงินมา โดยเซ็นโอนลอยให้เพื่อนพร้อมกับมอบรถให้ไปจำนวน 3 คัน แต่รถมีปัญหา 1 คัน เพราะว่าไม่ได้รับการติดต่อนานเป็นเดือน ก็ยังไม่เงิน จนกระทั่งเอะใจจึงไปติดต่อกับกรมการขนส่งทางบก พบว่า มีการโอนเรียบร้อยแล้ว จึงทราบว่าโดนโกงแล้ว จึงโทร.ไปติดต่อเพื่อนที่เป็นเซลส์ขายรถอยู่อีกเต็นท์หนึ่ง เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำว่าจะหาทนายความให้ช่วยเหลือคดี ซึ่งก่อนหน้านี้ ที่จัดไฟแนนซ์รถเกิดเหตุในพื้นที่ อ.ลำลูกกา จึงไปแจ้งความดำเนินคดีไว้ที่ สภ.ลำลูกกา ซึ่งตำรวจก็รับเรื่อง แต่แจ้งว่าถ้ารอตำรวจทำสำนวนคดีอย่างเดียวก็จะล่าช้า ให้ไปหาทนายความดำเนินคดีจึงติดต่อเพื่อนให้ช่วยหาทนายความดังกล่าว

นายวีรศักดิ์ กล่าวต่อว่า เพื่อนคนนั้นก็แนะนำให้รู้จักทนายความคนหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าเป็นทนายปลอม โดยนัดเจอกันที่ห้างแห่งหนึ่งเพื่อเจรจาทำสัญญาว่าจ้างในการติดตามคดีจำนวน 7 หมื่นบาท และจ่ายเงินมัดจำบางส่วน ภายหลังได้สอบถามถึงความคืบหน้าในการติดตามคดีที่แจ้งความไว้ โดยทนายความปลอมคนนี้แจ้งว่า เจ้าของสำนวนได้ย้ายมาอยู่เขตมีนบุรี จึงโอนสำนวนคดีมายังสน.มีนบุรีด้วย จากนั้นได้ส่งเอกสาร หมายศาลต่างๆ มาให้ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์หลายครั้ง โดยอ้างว่าจะดำเนินการทุกอย่างให้เรียบร้อย

แต่สุดท้ายก็นึกเอะใจสงสัย เนื่องจากผ่านไปหลายเดือนแล้ว คดีไม่มีความคืบหน้า จึงไปรู้จักกับทนายความจริงแล้วพากันไปตรวจสอบข้อมูลที่สน.มีนบุรี และศาล ก็ได้รับการยืนยันว่าไม่เคยมีเอกสารออกจากหน่วยงานราชการที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด จึงรู้ตัวว่าถูกทนายความปลอมหลอกลวง จากนั้นก็เดินทางไปติดต่อสอบถามกับพนักงานสอบสวน สภ.ลำลูกกา เจ้าของสำนวนคดีท้องที่เกิดเหตุก็ทราบว่าพนักงานสอบสวนและสำนวนคดีไม่ได้ถูกโอนย้ายไป สน.มีนบุรี เรื่องนี้ทำให้สภาทนายความ ได้รับความเสียหายและมีผลกระทบกับภาพลักษณ์ของสภาทนายความ ท่านนายกสภาทนายความ จึงเห็นว่าควรจะต้องเข้าไปมีส่วนช่วยโดยเฉพาะการแอบอ้างเป็นทนายความ แถมยังสร้างหลักฐานปลอมต่างๆ ขึ้นมา เพื่อหลอกลวงผู้เสียหายให้ลงเชื่อ ซึ่งเราจะเข้าไปดูว่าสภาทนายความ เกิดความเสียหายมีการปลอมบัตรทนายความ ปลอมลายเซ็นนายกทนายความเหมือนกับคดี “ทนายไก่หมุนปลอม” หรือไม่ และจะสามารถดำเนินการเอาผิดทางกฎหมายได้อย่างไรบ้าง
กำลังโหลดความคิดเห็น