ศาลอาญาเลื่อนนัดตรวจหลักฐาน “แอม ไซยาไนด์” กับตำรวจอดีตสามี คดีฆาตกรรมวางยา “ก้อย” จนเสียชีวิต ไป 20 พ.ย.นี้ เหตุทนายความ “แอม ไซยาไนด์” อ้างขอตรวจพยานเอกสารที่มีจำนวนมาก พร้อมอนุญาตให้มารดาผู้ตายเข้าเป็นโจทก์ร่วม เพื่อเรียกค่าเสียหาย 31 ล้านบาท
เมื่อเวลา 09.30 น.วันนี้ (2 พ.ย.) ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลตรวจพยานหลักฐานคดี อ. 2084/2566 ที่พนักงานอัยการ ยื่นฟ้อง น.ส.สรารัตน์ รังสิวุฒาภรณ์ หรือ “แอม ไซยาไนด์” จำเลยที่ 1 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น และอีกหลายฐานความผิด, พ.ต.ท.วิฑูรย์ รังสิวุฒาภรณ์ อดีตสามีของ “แอม ไซยาไนด์” จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณรัตน์ หรือ ทนายพัช ทนายความของ “แอม ไซยาไนด์” จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันทำลายหลักฐาน เพื่อช่วยเหลือ น.ส.สรารัตน์ หรือ “แอม ไซยาไนด์” กรณีการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร ขันวงษ์ หรือ ก้อย ในพื้นที่จังหวัดราชบุรี
โดย นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ ได้เดินทางมาศาลพร้อมกับแม่ของ น.ส.ก้อย, นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดี แอม ไซยาไนด์ โดยกล่าวว่า วันนี้ไม่มีความกังวลในการนัดตรวจพยานหลักฐาน เพราะได้ศึกษาสำนวนและคำฟ้องของพนักงานอัยการมาโดยละเอียด โดยในวันนี้จะยื่นคำร้องขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงินจำนวนประมาณ 31,000,000 บาท ให้กับแม่ของ น.ส.ก้อย เช่น ค่าปลงศพ และจะตั้งทนายเพื่อยื่นคำร้องเรียกค่าไร้อุปการะให้กับลูกวัย 10 ขวบ ของผู้ตายอีกคดีหนึ่งด้วย
สำหรับคดีนี้ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน, ฆ่าชิงทรัพย์โดยการวางยาหรือใช้สารพิษเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งบรรยายฟ้องของพนักงานอัยการได้ระบุพฤติการณ์ความผิดของจำเลยทั้งสามคนไว้ชัดเจน โดยจำเลยที่ 2 คือ พ.ต.ท.วิฑูรย์ เป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินในคดี จะไปขอคำปรึกษาจากจำเลยที่ 3 คือ ทนายพัช จึงได้พูดยุยงให้มีการทำลายพยานหลักฐาน เพื่อให้จำเลยที่ 1 หลุดจากคดี โดยกล่าวว่า “ถ้าจะสู้ให้สุดก็ต้องไม่ปรากฏของกลางและมีคดีที่ศาลยกฟ้องเพราะไม่มีของกลาง ส่วนคดีนี้ก็ควรทำให้ไม่มีของกลาง”
อย่างไรก็ตาม ไม่มีความกังวลในวันนี้เนื่องจากพยานหลักฐานมีความชัดเจน ทั้งนิติวิทยาศาสตร์ ผลการชันสูตรพลิกศพ และวัตถุพยาน ถือว่ามีความแน่นหนา
แต่เป็นห่วงแทนฝั่งจำเลยมากกว่าที่พยานหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ แต่จะยังคงยืนกรานต่อสู้คดี อย่างไรก็ตาม หากการเปิดพยานหลักฐานวันนี้มีชัดเจน จำเลยอาจให้การรับสารภาพได้ และศาลอาจลดโทษจากประหารชีวิตคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต แต่หากจำเลยยังไม่ให้การรับสารภาพ และต่อสู้ในชั้นศาลอาจจะใช้เวลาอีกประมาณ 3-4 ปี เนื่องจากมีพยานหลักฐานในคดีจำนวนมาก
นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดีแอมไซยาไนด์ กล่าวว่า ยืนยันว่า จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะผู้เสียหายได้รับความเสียหายมามากแล้ว แต่ฝากไปถึงทนายของคู่กรณีอยากให้ระมัดระวังการใช้ถ้อยคำที่เสียดแทงใจญาติของผู้เสียหายและอยากให้สงบปากสงบคำมากกว่านี้ และคำนึงถึงรรยาททนายความด้วย ส่วนผลทางคดีนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาให้ความเป็นธรรมของศาล แต่เบื้องต้นผู้กระทำผิดก็ได้รับผลกรรมแล้ว
ด้าน นางทองพิน อายุ 63 ปี แม่ น.ส.ก้อย เหยื่อในคดีนี้ บอกว่า ไม่มีความหนักใจในคดีนี้ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อยากให้ทางจำเลยพูดความจริง ทุกอย่างจะได้จบลง แต่ช่วงเช้าวันนี้ก็ได้จุดธูปเชิญ น.ส.ก้อย ขึ้นรถมาด้วย
ด้าน น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณรัตน์ หรือ ทนายพัชร กล่าวก่อนที่จะขึ้นไปตรวจพยานหลักฐาน ว่า วันนี้ตนมาในฐานะจำเลยและทนายความร่วม ซึ่งก็มีความมั่นใจในพยานหลักฐานไม่แพ้ฝั่งโจทก์ โดยหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะนำมาต่อสู้คือ ใบบันทึกประจำวัน เรื่องที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้สั่งซื้อไซยาไนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ ไว้ตามตำแหน่งต่างๆ ก่อนจะมีการเข้าตรวจค้น เพื่อให้มีหลักฐานทางคดี
ทั้งนี้ ตนเชื่อว่า ศาลจะต้องยกประโยชน์ให้กับจำเลย เพราะ ฝั่งโจทก์มีพยานแวดล้อม และประจักษ์พยานมีไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้ นอกจากนี้ ตนทราบว่า หนึ่งในผู้เสียหายรายหนึ่งที่อยู่จังหวัดนครปฐมได้มีการถอนฟ้องไปแล้ว ซึ่งตนก็ขอความแสดงยินดีด้วย
ในส่วนประเด็นที่ฝั่งโจทก์ มีความมั่นใจในเรื่องของพยานหลักฐานนั้น ตนมองว่า อยากให้แม่ของก้อยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมให้ได้ก่อน หากเข้ามาไม่ได้ก็จะไม่สามารถทำอะไรตนได้ รวมไปทั้งเรื่องที่จะเรียกค่าเสียหายด้วย
โดยวันนี้พนักงานอัยการโจทก์ น.ส.ทองพิณ เกียรติชนะสิริ มารดาผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม จำเลยที่ 1-3 พร้อมทนายความมาศาล ซึ่งเจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้เบิกตัว น.ส.สรารัตน์ มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง ขณะที่ พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีของ “แอม ไซยาไนด์” จำเลยที่ 2 และ น.ส.ธันย์นิชา หรือ ทนายพัช ได้ประกันตัวระหว่างสู้คดี วงเงินประกันคนละ 100,000 บาท
ขณะที่ น.ส.ทองพิณ ผู้ร้องได้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ตามคำร้องตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 2566 ศาลสอบโจทก์แล้วไม่คัดค้าน ส่วนทนายความจำเลยที่ 2 และ 3 คัดค้านการขอเป็นโจทก์ร่วมของ น.ส.ทองพิณ มารดาผู้ตาย โดยแถลงเพิ่มเติมว่า ผู้ร้องไม่ใช่มารดาของผู้ตายในคดีนี้ พร้อมยื่นเอกสารประกอบ แต่ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ได้ตรวจพยานหลักฐานที่คู่ความเสนอ โดยเฉพาะทนายความของผู้ร้องแถลงว่า น.ส.ทองพิณ มารดาผู้ตายได้เปลี่ยนชื่อ นามสกุล มาหลายครั้ง แต่ยืนยันว่า เป็นมารดาของผู้ตายจริง ทั้งนี้ ศาลได้ดูเอกสารที่จำเลยที่ 3 และทนายความจำเลยที่ 3 อ้างส่งประกอบเอกสารที่ผู้ร้องส่งโดยเฉพาะบัตรประจำตัวประชาชน มีหมายเลขประจำตัวประชาชนถูกต้องตรงกัน น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกัน อีกทั้งโจทก์ไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ น.ส.ทองพิณ เข้าเป็นโจทก์ร่วมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ส่วนความผิดฐานอื่นเป็นความผิดต่อรัฐ ไม่อนุญาต
ทนายความจำเลยทั้งสาม แถลงว่า เนื่องจากเอกสารที่ต้องตรวจเป็นจำนวนมากและเพิ่งเห็นในวันนี้ จึงขออนุญาตเลื่อนการพิจารณาไปนัดหน้า ศาลสอบโจทก์และทนายความโจทก์ร่วมแล้วไม่คัดค้าน ส่วนประเด็นที่ นางทองพิณ ทนายความโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/2 นั้นให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การในส่วนแพ่งต่อศาลภายใน 15 วัน
พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เปิดโอกาสให้คู่ความทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลได้อย่างเต็มที่ อนุญาตให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี ตรวจพยานหลักฐาน สอบคำให้การจำเลยทั้งสาม กำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 20 พ.ย. 2566 เวลา 09.00 น.