รวบหนุ่มเมืองพิจิตรแสบ อ้างเป็นเจ้าหน้าที่หลอกลูกจ้าง เก็บเงินป้ายโฆษณา ค่าคุ้มครอง ค่าดูแล พบประวัติมีหมายจับ 4 คดี
วันนี้ (17 ส.ค.) เมื่อเวลา 13.30 น. ที่ สภ.รัตนาธิเบศร์ พ.ต.อ.ธนะเมศฐ์ วิจิตรจริยา ผกก. พ.ต.ท.ภาสกร ชัยทวีวงศ์ รองผกก.สส. พ.ต.ต.บรรจบ ราชกิจ สว.สส.สภ.รัตนาธิเบศร์ พร้อมชุดสืบสวน ร่วมกันจับกุมตัว นายทัตเทพ บัวงาม อายุ 50 ปี ที่อยู่ 301 ตำบลบ้านนา อำเภอวชิรบารมี จังหวัดพิจิตร โดยจับตามหมายจับ จำนวน 4 หมาย ดังนี้ 1. หมายจับศาล จ.นนทบุรี ที่ 517/2566 ลงวันที่ 16 ส.ค. 2566 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” 2. หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ 731/2566 ลงวันที่ 16 ส.ค. 2566 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน ฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น” 3. หมายจับศาลแขวงพระนครเหนือ ที่ 393/2566 ลงวันที่ 19 ก.ค. 2566 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกง” 4. หมายจับศาลแขวงพระนครใต้ที่ 294/2561 ลงวันที่ 18 ต.ค. 2561 ซึ่งต้องหากระทำความผิดฐาน “ฉ้อโกง”
สถานที่จับกุม บริเวณลานจอดรถห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลปิ่นเกล้า แขวงอรุณอมรินทร์ เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2566 เวลาประมาณ 18.40 น. ก่อนถูกจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ออกก่อเหตุแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าป้ายโฆษณา จากบรรดาร้านค้าในเขตพื้นที่จังหวัดนนทบุรี จำนวนหลายร้าน แต่ละครั้งได้เงินไปจำนวนหลักพันหลักหมื่น ทำให้พนักงานลูกจ้างในร้านเดือดร้อนต้องถูกหักเงินเดือนจากนายจ้าง เจ้าพนักงานตำรวจชุดสืบสวนภูธรจังหวัดนนทบุรีและชุดสืบสวน สภ.รัตนาธิเบศร์ ได้ทำการสืบสวนทราบว่า มีคนร้ายเป็นชายไทยอายุประมาณ 50 ปี มักตระเวนก่อเหตุในพื้นที่ กทม. และปริมณฑล
โดยอ้างเป็นเจ้าหน้าที่มาเก็บค่าคุ้มครอง ค่าดูแล ทำให้พนักงานในร้านค้าหรือเจ้าของร้านหลงเชื่อ จึงได้มอบทรัพย์สินให้กับคนร้าย โดยเส้นทางการก่อเหตุ มีการเดินทางมาก่อเหตุและหลบหนีไปโดยใช้การเดินทางโดยรถรับจ้าง หรือรถยนต์โดยสารประจำทางและมักเดินทางหลบหลีกกล้องวงจรปิด เพื่อหลบหนีการจับกุม หากถูกจับกุมได้ก็จะมีการชดใช้ให้กับผู้เสียหายและให้ผู้เสียหายยอมความและถอนคำร้องทุกข์ออกไป
จากการตรวจสอบข้อมูลของคนร้ายรายดังกล่าว พบประวัติคดีอาญาในคดีฉ้อโกง ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2551 จนถึงปัจจุบันจำนวน 18 คดี เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 66 คนร้ายได้เข้ามาในพื้นที่ สภ.รัตนาธิเบศร์อ.เมืองนนทบุรี จ.นนทบุรี ที่ร้านขายเครื่องสำอางแห่งหนึ่งโดยแจ้งกับพนักงานร้านค้าว่ามารับเงินค่าป้ายโฆษณาจำนวน 19,000 บาท โดยในระหว่างนั้นคนร้ายได้ถือโทรศัพท์ทำทีเหมือนคุยโทรศัพท์อยู่ตลอดเวลา โดยอ้างกับพนักงานร้านค้า ว่า ได้โทรคุยกับเจ้าของร้านแล้วให้เข้ามาเก็บเงินจำนวนดังกล่าว พนักงานร้านค้าหลงเชื่อจึงได้ให้เงินสดที่ขายของได้ในร้านไป จำนวน 8,000 บาท ให้กับคนร้ายแล้วได้หลบหนีไป