MGR Online - “สายไหมต้องรอด” พา “โอ๊ด พราด้า” คดี สจล. ขอความเป็นธรรม ยธ. หลังทรัพย์สินของกลางหาย ระหว่างติดคุกฟรี 4 ปี 8 เดือน และเยียวยาตามกฎหมาย
วันนี้ (16 ส.ค.) เวลา 10.00 น. ที่กระทรวงยุติธรรม ถ.แจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด พา นายภาดา บัวขาว หรือ “โอ๊ด พราด้า” อายุ 37 ปี ผู้เสียหาย ในคดีฉ้อโกงเงิน 1,600 ล้านบาท ของสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) เข้าร้องขอความเป็นธรรมจากกระทรวงยุติธรรม เนื่องจากถูกกลั่นแกล้งให้ตกเป็นผู้ต้องหา ระหว่างสู้คดีประกันตัวไม่ได้ ต้องติดคุกฟรี 4 ปี 8 เดือน ซึ่งหลังศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง พบว่า ทรัพย์สินของตัวเองที่ถูกยึดเป็นของกลางในคดีได้สูญหายไปจำนวนมาก รวมทั้งเงินในบัญชีธนาคารที่ถูกอายัด ถูกเบิกถอนออกไปโดยไม่มีคำชี้แจงจากที่หน่วยงานเกี่ยวข้อง โดยมี นายปริญญ์วัฒน์ เปี่ยมปิ่นวงศ์ หัวหน้าศูนย์ยุติธรรมสร้างสุข และ นายวรพันธ์ กลัดหว่าง นักวิชาการยุติธรรม ชำนาญการ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เป็นผู้แทนรับเรื่อง
นายภาดา เผยว่า คดีดังกล่าว ตนเองเข้าไปเกี่ยวข้อง เนื่องจากพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด หนึ่งในผู้ต้องหารายสำคัญของคดี สจล. ได้ให้เลขาส่วนตัวโอนเงินเข้าบัญชีตน ซึ่งรู้จักกันเพียงการทำธุรกิจจัดงานอีเวนต์ โปรโมตสินค้า จำนวน 7 ล้านบาท โดยตนไม่ได้เกี่ยวข้องกับมหาวิทยาลัยและธนาคารแต่อย่างใดที่ร่วมกันยักยอกเงิน แต่กลับถูกดำเนินคดีไปด้วย ก่อนสุดท้ายศาลชั้นต้นและอุทธรณ์จะมีคำสั่งยกฟ้อง ไม่มีการยื่นศาลฎีกาต่อ ทำให้ตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ในคดี ทั้งนี้ ตลอดเวลาที่อยู่ในเรือนจำ ตนเองได้รับความลำบากเป็นอย่างมาก ถูกตราหน้าว่าเป็นคนชั่วขโมยเงินนักศึกษา ต้องโกหกลูกว่าอยู่ต่างประเทศ และพูดคุยผ่านจดหมายเท่านั้น ส่วนลูกก็ถูกเพื่อนล้อว่ามีพ่อติดคุก ตนเองเสียใจมากจนเคยคิดสั้นเกือบฆ่าตัวตายในเรือนจำแต่เจ้าหน้าที่มาช่วยไว้ได้ทัน
นายภาดา เผยอีกว่า หลังจากพ้นโทษออกมาเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน และได้ประกอบธุรกิจจัดงานอีเวนต์ แต่ยังคงได้รับผลกระทบเนื่องจากยังมีการขุดคุ้ยข่าวเก่ามาโจมตีจนไม่สามารถทำธุรกิจได้ เพราะยังมีการระบุชื่อตนเป็นผู้ต้องหาในคดีทุจริตเงิน ล่าสุดตนเองซื้อลิขสิทธิ์เวทีนางงามประกวดชื่อดัง จ.ชลบุรี แต่ก็ถูกบุคคลไลฟ์ด่าทอ ขาดโอกาสในการทำธุรกิจหลายอย่าง
นายภาดา เผยต่อว่า ส่วนของกลางในคดีได้ถูกอายัดทรัพย์สินระหว่างตนถูกคุมขังในเรือนจำ รวม 40 รายการ เมื่อตามทวงถามจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่ได้รับคืน อาทิ กระเป๋าแบรนด์เนมกว่า 10 ใบ นาฬิกาหรู 3 เรือน สร้อยคอทองคำหนัก 5 บาท กำไลเงิน สร้อยพระเหลี่ยมทอง แหวนเพชร แหวนทองคำขาว ธนบัตรสกุลเงินไทยและดอลลาร์ รวมถึงเงินสดที่ถูกอายัดไว้ในบัญชีธนาคาร 1 ล้านบาท ถูกถอนออกไปกว่า 8 แสนบาท เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งทวงถามธนาคารก็ให้ไปติดต่อ ปปง. และได้โยนให้ไปสอบถามกับกรมสรรพากร จนสุดท้ายยังไม่มีความชัดเจน
“นอกจากนี้ มีรถ BMW Series 4 มูลค่า 4.7 ล้านบาท ที่หายไปไร้ร่องรอย ส่วนบ้านและที่ดินใน จ.ขอนแก่น มูลค่า 1.5 ล้านบาท ทางเจ้าหน้าที่อ้างว่าผมไม่ไปชี้แจงที่มาของทรัพย์สินนี้ จึงตกเป็นของที่ดินไปแล้ว ทั้งที่ความจริงไม่สามารถชี้แจงได้ทันเวลา เพราะถูกคุมขังในเรือนจำ ดำเนินการทางเอกสารลำบาก รวมมูลค่าทรัพย์สินที่สูญหายและไม่ได้คืนกว่า 8 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ จะมอบหมายให้ทางทนายความรวบรวมพยานหลักฐานฟ้องกลับองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดในคดี”
ด้าน นายวรพันธ์ เปิดเผยว่า การเยียวยาผู้เสียหายในคดีอาญา เมื่อคดีถึงที่สุด เบื้องต้นมีแนวทางการช่วยเหลือ คือ ค่าทดแทนการถูกคุมขัง วันละ 500 บาท ค่าขาดการทำมาหาได้ ยึดตามค่าแรงขั้นต่ำขณะนั้น และค่าจ้างทนายความไม่เกิน 1 แสนบาท
ส่วน นายปริญญ์วัฒน์ ระบุว่า ในเรื่องทรัพย์สินของกลางที่หายไป ได้รับเรื่องเอาไว้และจะให้ผู้เสียหายรวบรวมเอกสารทรัพย์สิน มายื่นในภายหลัง จากนั้นจะช่วยเร่งรัดติดตามทรัพย์สินกับหน่วยงานต่างๆ กลับคืนมา