"พ.ต.ท.มานะพงษ์" สารวัตรสืบพญาไท เบิกความ ระบุเครือข่าย "ทุน มิน ลัต" นำเงินจากยาเสพติดไปทำสัญญาซื้อ-ขายไฟฟ้า ขณะอัยการแถลงขอส่งบัญชีพยานเพิ่ม โต้ดุเดือดทนายจำเลยเป็นพยานหลักในคดี นัดสืบพยานต่อ 16 มิ.ย.นี้
วันนี้ (15 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณาคดี 801 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดสืบพยานโจทก์ครั้งแรก คดีที่ ย1249/2565 อัยการสำนักงานคดียาเสพติด 9 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายทุน มิน ลัต นักธุรกิจชาวเมียนมา,นายดีน ยัง จุลธุระ ,น.ส.น้ำหอม เนตรตระกูล ,นางปิยะดา คำต๊ะ และ บริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป (พีแอนด์อี) รวม 5 ราย ตามพ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน, พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ
โดยการสืบพยานศาลได้กำหนดนัดทั้งวัน ขณะบรรยากาศในการสืบพยานช่วงเช้า พนักงานอัยการเดินทางมาพร้อมกับพยานและจัดเตรียมภาพแผนผังประกอบการสืบพยานเกี่ยวเครือข่ายกลุ่มนายทุนมินลัตและกลุ่มย่อยที่เชื่อมโยง ส่วน นายทุน มิน ลัต จำเลยที่ 1,2,3,4 ซึ่งไม่ได้รับการประกันตัวในชั้นพิจารณาศาลได้เบิกตัวมาจากเรือนจำ ในชุดนักโทษสีน้ำตาล เพื่อร่วมการสืบพยาน ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ดูแลใกล้ชิด โดยมีญาติชาวต่างชาติและคนใกล้ชิดกว่า 20 คน มาให้กำลัง ขณะที่จำเลยทั้งหมดมีทนายความพร้อมต่อสู้คดี ซึ่งศาลได้จัดล่ามแปลภาษาในการสืบพยานให้จำเลยซึ่งเป็นชาวต่างชาติได้ฟังโดยเข้าใจด้วย ขณะเดียวกันทางฝ่ายจำเลยเองก็จัดเตรียมล่ามส่วนตัวไว้ด้วย ทั้งนี้ในการสืบพยานศาลก็ได้ใช้ระบบบันทึกคำพยานด้วยภาพและเสียง (e-Hearing)
โดยพนักงานอัยการโจทก์แถลงต่อศาล ขอส่งบัญชีพยานบุคคลและพยานเอกสาร ที่เกี่ยวข้องเป็นความผิดองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเพิ่มเติม เนื่องจากตนเองเพิ่งได้รับคำสั่งแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะทำงานชุดใหม่ในสำนวนคดีนี้แทนชุดเก่า ซึ่งทนายความฝ่ายจำเลยแถลงคัดค้าน แต่ศาลเห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ให้นำพยานที่มีส่วนรู้เห็นมาเบิกความให้สิ้นกระแสความ จึงอนุญาตให้ส่งบัญชีพยานบุคคลและพยานเอกสารเพิ่มเติมได้
โดยพยานปากแรก ที่อัยการนำสืบในวันนี้คือ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท อายุ 34 ปี ซึ่งเบิกความสรุปว่า ตนเองเป็นผู้สืบสวนจับกุมจำเลยคดีนี้ และเคยเป็นตำรวจฝ่ายสืบสวน กก.2 บก.สส.บช.น. ได้จับกุมผู้ค้ายาเสพติดมาแล้ว 30-40 คดี เชื่อว่าผู้ผลิตยาเสพติดอยู่นอกราชอาณาจักร บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ หรือ ชายแดนประเทศไทย ลาว และเมียนมา คดีนี้เริ่มมาจากการจับกุมกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดจำนวน 6 กลุ่ม และมีแผนประทุษกรรมคล้ายกับคดีการจับกุมนายพิทวัส แสงโสภา กับพวกรวม 6 คน ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาประหารชีวิตและจำคุกตลอดชีวิต พฤติการณ์คือ เอาเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติดในประเทศไทย เพื่อซื้อน้ำมัน กลับไปขายยังประเทศเมียนมา ส่วนคดีนี้พบว่ามีการเอาเงินไปชำระค่าไฟฟ้า ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย เพื่อนำไฟฟ้าส่งออกไปที่ประเทศเมียนมา
จากนั้นพ.ต.ท.มานะพงษ์ ได้เบิกความ ประกอบแผนผังขนาดใหญ่ ที่อัยการจัดเตรียมมาให้ ว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีข้อมูลเชื่อมโยงกับ 3 บริษัท คือ บริษัทเมียนมา อัลลัวร์ กรุ๊ป จดทะเบียนที่ประเทศพม่า , บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป จดทะเบียนในประเทศไทย,บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) จดทะเบียนในประเทศไทย โดยนายทุน มิน ลัต จำเลยที่ 1 เป็นกรรมการบริษัทเมียนมา อัลลัวร์ กรุ๊ป , นายดีน ยัง จำเลยที่ 2 เป็นลูกเขยของนายอุปกิต ปาจรียางกูร ทำหน้าที่โอนหลักประกันการซื้อไฟฟ้าทั้ง 3 บริษัท กับบริษัทการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค อ.แม่สาย จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการบริษัทอัลลัวร์ กรุ๊ป รับผลประโยชน์เป็นเงินเดือนจากเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ส่วนจำเลยที่ 4 เป็นผู้ถือหุ้น บริษัท อัลลัวร์กรุ๊ป (พีแอนด์อี) มีหน้าที่นำสลิปไปตรวจสอบการชำระค่าไฟฟ้า
พ.ต.ท.มานะพงษ์ เบิกความอีกว่า การจับกุมยาเสพติดคดีนี้ ได้ยึดโทรศัพท์ตรวจสอบ พบว่า มีข้อมูลการฝากเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด ผ่านตู้ฝากเงินสดอัตโนมัติ หรือ CDM ที่กลุ่มนักค้ายาเสพติดจะเรียกว่า “หย่อนตู้” เพราะไม่สามารถรู้ได้ว่าต้นทางการฝากเงินมาจากใคร ภายหลังการจับกุมและสืบสวนขยายผลไปยัง บริษัท อัลลัวร์ กรุ๊ป (พีแอนด์อี) พบบัญชีการโอนเงินกว่า 500 บัญชี ลักษณะผิดปกติ จึงประสานป.ป.ส.เพื่อตรวจสอบว่าบัญชีที่โอนมาเป็นเงินจากยาเสพติดหรือไม่ จากฐานข้อมูลของป.ป.ส.ตรวจสอบพบว่าเกี่ยวข้องกับผู้ค้ายาเสพติดขนาดเล็กและขนาดกลาง ดังนั้นการทำคดีนี้ตำรวจไม่ได้ทำงานเพียงหน่วยงานเดียว แต่ได้ประสานข้อมูลไปยังกรมสรรพากร เพื่อตรวจสอบการเสียภาษี ประสานกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เพื่อตรวจสอบการจดทะเบียน สำนักงานประกันสังคม พบว่าเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในประเทศไทย ประกอบธุรกิจโดยไม่มีลูกจ้าง และประสานกรมศุลกากร ตรวจสอบการนำเงินออกผ่านแดน ที่ปกติการค้าระหว่างประเทศ จะชำระผ่านระบบธนาคาร แต่มีการอ้างสถานการณ์โควิด-19 แล้วชำระเงินผ่านบริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราแทน ประสานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง( ตม.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ และกองบัญชีการตำรวจปราบปรามยาเสพติด
ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนพิจารณาวันนี้ในช่วงเวลา 16.30 น.ศาลได้กำหนดนัดสืบพยานปาก พ.ต.ท.มานะพงษ์ ต่อในวันพรุ่งนี้ (16 มิ.ย.) ตั้งแต่ เวลา 09.00 น.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์จะควบคุมตัวนายทุน มิน ลัต และพวกจำเลยออกจากห้องพิจารณา เพื่อเตรียมจะกลับไปยังเรือนจำ ระหว่างที่นั่งรอในห้องพิจารณา เมื่อพ.ต.ท.มานะพงษ์พยานโจทก์เดินออกจากคอกพยาน เพื่อจะเดินทางกลับ นายทุน มิน ลัต ก็ได้ยิ้ม พร้อมจับมือทักทายและพูดคุยกันเป็นภาษาอังกฤษอยู่ประมาณ 1-2 นาที เมื่อจะออกจากห้องพิจารณา นายทุน มิน ลัต ก็ยังได้ยิ้มและทักทายกับ ทนายความ รวมถึงเจ้าหน้าที่อื่นๆ อีกด้วย พร้อมกับพูดภาษาไทยสั้น ๆ ว่า“สู้ สู้”กับคนใกล้ชิด