ศาลอาญาคดีทุจริตฯกลาง ยกฟ้องตำรวจไม่ผิดปฏิบัติหน้าที่มิชอบ บุกจับกุม”รัชฎา”อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ ชี้ไม่มีเจตนากลั่นแกล้ง
เมื่อเวลา 09.00 น. วันนี้ (30 พ.ค.) ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ถ.เลียบทางรถไฟ ตลิ่งชัน ศาลนัดฟังคำสั่งหรือคำพิพากษาชั้นตรวจคำฟ้อง คดีนายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานฯ โจทก์ ยื่นฟ้อง ยื่นฟ้องพล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว กับพวกรวม 7 คน ข้อหาเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบและความผิดต่อเสรีภาพ ฯ
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 ธ.ค.2565 จำเลยทั้งเจ็ดร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำให้จำเลยที่ 7 ซึ่งแอบติดกล้องบันทึกภาพและเสียงไว้ไปพบพูดชักจูงให้โจทก์ตกลงรับเงินหรือกำหนดจำนวนเงินหรือเปอร์เซ็นต์ของเงินเพื่อเรียกรับเอาจากข้าราชการผู้ใต้บังคับบัญชาผู้มีตำแหน่งหรือชื่อตามที่จำเลยที่ 7 สนทนาถึงและพยายามส่งมอบซองสีขาว 3 ซอง แก่โจทก์โดยโจทก์ไม่ทราบว่าภายในซองมีเงิน 98,000บาท บรรจุอยู่ แต่โจทก์ปฏิเสธไม่รับ จำเลยที่ 7 วางซองทั้งสามซองไว้บนโต๊ะทำงานโจทก์แล้วออกจากห้องไป ทันใดนั้น จำเลยที่ 1-6ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) พร้อมกับเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช และเจ้าหน้าที่ ป.ป.ท. ร่วมกันบุกรุกเข้ามาภายในห้องทำงานของโจทก์ซึ่งเป็นที่รโหฐานโดยไม่มีหมายค้นและหมายจับแล้วร่วมกันจับกุมโจทก์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147และ 157ทั้งที่โจทก์ไม่ได้มีเจตนากระทำความผิด
จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1-6 ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และ 200 โดยมีจำเลยที่ 7 เป็นผู้สนับสนุน
นอกจากนี้ จำเลยที่ 1-6 ในฐานะผู้รับผิดชอบจัดให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานขณะเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ด้วยการบันทึกวีดีโอเป็นภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงซึ่งเป็นข้อมูลส่วนบุคคลของโจทก์และต้องสงวนไว้เป็นข้อราชการที่เป็นความลับ ปล่อยให้มีการนำวีดีโอภาพเคลื่อนไหวพร้อมเสียงดังกล่าวเผยแพร่โดยไม่ได้รับความยินยอมจากโจทก์ จึงเป็นการที่จำเลยที่ 1-6 ร่วมกันกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.2562มาตรา79
โดยวันนี้มีนายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความ
ทนายผู้รับมอบอำนาจโจทก์เดินทางมาศาล
ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางพิเคราะห์แล้วเห็นว่า เหตุที่มีการเข้าจับกุมโจทก์เนื่องจากจำเลยที่ 7 เข้าร้องเรียนต่อเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. เกี่ยวกับพฤติการณ์ทุจริตของโจทก์ที่ป.ป.ช. สืบสวนมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วเชื่อว่าคดีน่าจะมีมูล แต่ยังปราศจากหลักฐานจึงประสานมายัง บก.ปปป. เพื่อสืบสวนหาข้อเท็จจริงและเพื่อได้มาซึ่งพยานหลักฐาน การที่จำเลยที่1-6 วางแผนตรวจค้นจับกุมโจทก์จึงเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ปปป. ซึ่งเป็นเพียงวิธีการพิสูจน์ความผิดของโจทก์ ไม่เป็นการแสวงหาพยานหลักฐานโดยมิชอบ และไม่ใช่เป็นการร่วมกันก่อหรือพยายามก็ให้โจทก์กระทำความผิด และขณะที่จำเลยที่ 7 เข้าไปพบโจทก์ที่ห้องทำงานของโจทก์จำเลยที่1-6 และเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมหน่วยงานอื่นติดต่อสื่อสารกับจำเลยที่ 7 ผ่านทางแอพพลิเคชั่นไลน์โดยการโทรแบบกลุ่มทำให้ได้ยินการสนทนาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 7 ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเรียกรับเงิน เเละเมื่อโจทก์ได้รับเงินที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้แล้ว เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เข้าไปยังห้องทำงานของโจทก์และตรวจค้นพบซองบรรจุเงินรวม98,000 บาท ที่จำเลยที่ 7 นำไปมอบให้โจทก์อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของโจทก์ กรณีจึงเป็นความผิดซึ่งหน้าซึ่งเห็นกำลังกระทำหรือพบในอาการใดซึ่งแทบจะไม่มีความสงสัยเลยว่าโจทก์ได้กระทำความผิดมาแล้วสดๆ มีเหตุอันควรเชื่อว่าเนื่องจากการเนิ่นช้ากว่าจะเอาหมายค้นมาได้ เงินที่จำเลยที่ 7นำไปมอบให้นั้นจะถูกโยกย้ายหรือทำลายเสียก่อน
จำเลยที่ 1-6จึงมีอำนาจตรวจค้นจับกุมโจทก์โดยไม่ต้องมีหมายค้นและหมายจับ เมื่อข้อเท็จจริงโจทก์แถลงต่อศาลในชั้นตรวจฟ้องว่า ก่อนเกิดเหตุคดีนี้ โจทก์ไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยที่1-6 และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีรายชื่อในบันทึกการจับกุมท้ายฟ้อง กรณีจึงไม่มีเหตุที่จะชี้ให้เห็นว่าการเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ครั้งนี้ กระทำโดยมีเจตนากลั่นแกล้งโจทก์ต้องรับโทษตามที่โจทก์อ้าง
การกระทำของจำเลยที่1-6 จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157และ 200 จำเลยที่ 7 จึงไม่อาจเป็นผู้สนับสนุนและผู้ร่วมกระทำผิด
ส่วนความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 164 นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า นอกจากจำเลยที่1-6 และเจ้าหน้าที่รัฐที่มีชื่อ ยังมีบุคคลอื่นอีกหลายคนร่วมอยู่ในเหตุการณ์จับกุมโจทก์ ฝ่ายของโจทก์มีเจ้าหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ซึ่งได้มีการบันทึกภาพและเสียงขณะตรวจค้นจับกุมด้วยเช่นกัน แต่โจทก์ไม่ได้ชี้ช่องพยานหลักฐานให้เห็นว่าวีดีโอบันทึกภาพและเสียงที่ถูกเผยแพร่ออกสู่สาธารณะชนนั้นเกิดจากการกระทำของจำเลยที่ 1-6 กรณีจึงยังไม่พอฟังได้ว่าจำเลยที่ 1-6 กระทำความผิดตามมาตรา 164ส่วนความผิดตาม พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ เห็นว่าเป็นการกระทำตามอำนาจหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิดอาญาเกี่ยวกับการทุจริตของเจ้าหน้าที่ของรัฐ โดย การจัดให้มีการแสวงหาข้อเท็จจริงขณะเข้าตรวจค้นจับกุมโจทก์ด้วยการบันทึกวิดีโอพร้อมเสียงเป็นพยานหลักฐานเพื่อนำไปใช้ในกระบวนการที่นำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดซึ่งมีโทษทางอาญาจึงถือเป็นการดำเนินงานตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา ซึ่งตามพรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ฯมาตรา 4(5) มิให้นำพรบ.นี้ใช้บังคับ พิพากษายกฟ้อง
นายวราชันย์ เชื้อบ้านเกาะ ทนายความ กล่าวภายหลังรับฟังคำสั่งศาลว่าวันนี้ศาลไม่รับคำฟ้อง โดยศาลพิพากษายกฟ้อง ในส่วนรายละเอียดอยู่ระหว่างทางทีมทนายความขอคัดถ่ายคำสั่งจากศาล เบื้องต้นศาลให้ทางตำรวจได้ชี้แจงและรับฟังว่าเป็นไปตามการทำตามอำนาจหน้าที่ ในชั้นดังกล่าวกฎหมายให้สิทธิ์ทางโจทก์คือ รัชฎาสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน ทั้งนี้สำหรับการอุทธรณ์ไม่จำเป็นที่จะต้องยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมเป็นการยื่นอุทธรณณ์เพื่อหักล้างกัน เป็นการพิจารณาเบื้องต้นว่าศาลจะรับหรือไม่รับฟ้องเท่านั้น
นาย รัชฎายืนยันที่จะอุทธรณ์ต่อไปตามสิทธิ และไม่กังวล คดีนี้เป็นคดีที่ฟ้องว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบไม่ได้เป็นคดีที่จะพิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดการตรวจค้นจับกุมเป็นไปตามที่มีการรายงานข่าวหรือไม่ฉะนั้นประเด็นในคดีดังกล่าวกับคดีที่ศาลอาญา เป็นคนละประเด็นกัน
สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 7 ที่ถูกนายรัชฎายื่นฟ้องประกอบด้วย พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ป่านแก้ว พ.ต.อ.เกรียงไกร ขวัญไตรรัตน์ ,พ.ต.ต.ธนกร จาวรุ่งวณิชสกุล,ร.ต.อ.เกียรติภูมิ ปภินวัช,ร.ต.อ.นที วุฒิภาธรณ์,ร.ต.อ.กรกฏ ศรนิกร ซึ่งเป็นตำรวจชุด ปปป. เเละนายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษรผู้อำนวยการสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 9 (จังหวัดอุบลราชธานี)