สามีผู้เสียชีวิตใน อ.ชะอำ เข้าพบ รอง ผบ.ตร.ให้ปากคำ ภรรยาร่วมทุนกับ “แอม” ปล่อยเงินกู้ ก่อนตายได้นัดพบกันในปั๊มน้ำมันใน จ.เพชรบุรี แล้วกลับมาบ้าน มีอาการตัวเขียวช้ำเลือด-น้ำลายไหลออกจากปาก เสียชีวิต ก่อนกำหนดปันผลเงินกู้ไม่กี่วัน “บิ๊กโจ๊ก” เผย ล่าสุด มีผู้ตายเกี่ยวข้องในคดีเพิ่มเป็น 13 ราย
วันนี้ (26 เม.ย.) ที่ สโมสรตำรวจ นายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อในคดี นางสรารัตน์ หรือ แอม รังสิวุฒาภรณ์ อายุ 36 ปี วางยาไซยาไนด์เหยื่อจนเสียชีวิต พาสามีของนางจันทรรัตน์ ผู้เสียชีวิตในบ้านพัก พื้นที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี มาให้ปากคำเพิ่มเติม กับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.
โดยสามีของนางจันทรรัตน์ กล่าวว่า ภรรยาและนางสรารัตน์ รู้จักกันผ่านกลุ่มเพื่อนที่อยู่ในทีมประกันชีวิตที่อยู่ในจังหวัดราชบุรี ตั้งแต่ปี 2565 ก่อนจะร่วมกันทำธุรกิจปล่อยเงินกู้ ซึ่งในวันเกิดเหตุ คือ วันที่ 15 สิงหาคม 2565 เวลา 09.00 น. นางสรารัตน์ได้นัดภรรยาไปเจอที่ปั๊มน้ำมันในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี โดยได้บอกกับเพื่อนบ้านเอาไว้ว่า จะไปหาเพื่อนชาวจังหวัดราชบุรี แต่ไม่ได้บอกรายละเอียดว่าจะออกไปทำอะไร
จนกระทั่งเพื่อนบ้านเห็นภรรยากลับมาที่บ้านในช่วงเวลา 10.00-11.00 น. ซึ่งเพื่อนบ้านได้พูดคุยกับภรรยาอีกครั้ง ก่อนที่ภรรยาจะบอกว่า “รู้สึกอาการไม่ค่อยดี ขอเข้าไปพักในบ้านก่อน” ต่อมาช่วงเวลา 12.00 น. ตัวเองได้กลับมาจากทำงาน เพื่อมากินข้าวเที่ยงที่บ้าน เนื่องจากว่าที่พักและโรงงานไม่ไกลกัน แต่ปรากฏว่า เมื่อมาถึงกลับพบภรรยานอนคว่ำหน้า และสภาพตัวเขียวช้ำเลือด มีเลือดและน้ำลายไหลออกจากปาก ตัวเองจึงรีบโทรศัพท์แจ้ง 1669 และในขณะเดียวกัน เจ้าหน้ากู้ภัยที่มาถึง ก็พยายามช่วยปั๊มหัวใจ และพาไปส่งโรงพยาบาล แต่สุดท้ายก็ไม่ทัน ภรรยาเสียชีวิต
โดยสาเหตุที่ตัวเองไม่ได้ติดใจตั้งแต่แรก เนื่องจากคิดว่า การเสียชีวิตของภรรยามาจากเรื่องสุขภาพ เพราะก่อนหน้านี้ ภรรยาบ่นปวดหัว 2 วันแล้ว รวมถึงแพทย์ลงความเห็นว่า การเสียชีวิตเกิดจาก “หัวใจล้มเหลว” เลยตัดสินใจไม่ได้ผ่าชันสูตรในช่วงเวลานั้น แต่พอมาเห็นข่าว ก็ยอมรับว่า ไม่คิดว่าภรรยาจะกลายเป็นเหยื่อของนางสรารัตน์ ที่มีจิตใจโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ และพอนึกย้อนตัวภรรยาเอง ก็ไม่มีโรคประจำตัวมาก่อน
ส่วนความสัมพันธ์และความเชื่อมโยงเรื่องการเงินกับนางสรารัตน์ พบว่า ภรรยาเคยลงทุนให้นางสรารัตน์ลงทุนปล่อยเงินกู้ให้จำนวน 70,000 บาท โดยตัวเองก็ทราบเรื่องนี้ เพราะเป็นคนไปเบิกจากธนาคารด้วยตัวเอง และเงินจำนวนนี้ก็กำลังจะได้รับเงินปันผลจากนางสรารัตน์ในช่วงสิ้นเดือนสิงหาคม 2565 ซึ่งภรรยาเสียชีวิตก่อนรับเงินไม่กี่วัน
นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนขายของในติ๊กต็อกร่วมกันกับนางสรารัตน์อีก 26,800 บาท แต่เงินส่วนนี้โอนไปให้บุคคลหนึ่งที่ตัวเองไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่สุดท้ายหลังจากนั้นเพียง 3 วัน ภรรยาก็เสียชีวิต
ส่วนสิ่งที่น่าสงสัยอีกอย่าง คือ นางสรารัตน์ ไม่ได้มาร่วมงานศพภรรยา แต่เคยติดต่อภายหลังจากนั้นที่ปั๊มแห่งหนึ่ง โดย นางสรารัตน์ บอกว่า “ภรรยาไม่ได้โอนเงินจำนวน 70,000 บาทให้เลย” ส่วนก่อนหน้าที่ภรรยาจะออกไปหานางสรารัตน์แล้วเสียชีวิต เห็นหลักฐานเป็นสายที่โทร.เข้า-ออก โดยนางสรารัตน์เป็นคนนัดให้ภรรยาออกไปเจอ
ด้าน พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวถึงความคืบหน้าในภาพรวมการสืบสวนสอบสวนทุกกรณี ว่า วันนี้ผู้ที่ถูกวางยาแต่รอดชีวิต ได้เดินทางเข้ามาให้ข้อมูลกับคณะทำงานแล้ว อยู่ระหว่างสอบสวนรายละเอียด ส่วนผู้เสียชีวิต จนถึงขณะนี้ พบว่า มีผู้เสียชีวิตอันต้องสงสัยว่า ถูกนางสรารัตน์วางยาไซยาไนด์ 13 คน แล้ว ในจำนวนนี้มีเพียงกรณีของนาวสาวก้อย ที่คดีอยู่ในความดูแลของกองบังคับการปราบปราม
ขณะที่คดีอื่นๆ ให้ท้องที่ดูแล รับผิดชอบ ในการทำคดี ซึ่งได้กำชับให้ทำงานโดยละเอียดรอบคอบ โดยมีพนักงานสอบสวนจากส่วนกลาง ช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด แต่สำนวนทุกคดี จะเป็นผู้ตรวจทานความสมบูรณ์เรียบร้อยทั้งหมด แต่ไม่ใช่การรวมสำนวนคดี เพราะไม่จำเป็นต้องรวมสำนวนคดีกัน เนื่องจากแต่ละคดีไม่เกี่ยวข้องกัน เพียงแต่มีผู้ต้องสงสัยคนเดียวกัน เท่านั้น โดยในวันศุกร์นี้ ได้นัดหมายให้พนักงานสอบสวนทุกคดี เข้ามาประชุม รายงานความคืบหน้าพร้อมกันที่สโมสรตำรวจ
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า ผู้เสียหายที่ยังไม่ได้แจ้งความด้วยว่า สามารถแจ้งความได้ แม้จะไม่มีศพผู้เสียชีวิตแล้ว ซึ่งพนักงานสอบสวนจะดำเนินการ รับเลขคดีและทำการสืบสวนสอบสวนให้ตามขั้นตอนเหมือนทุกคดี พร้อมกำชับ ประเด็นการสืบสวนสอบสวน ให้พนักงานสอบสวน ดูประวัติการป่วยของผู้เสียชีวิตทุกคน ตรวจสอบการได้มาซึ่งไซยาไนด์ ของนางสรารัตน์ สอบสวนพยานผู้เสียหาย ผู้ประสบเหตุและพยานแวดล้อม ให้ครบถ้วนสมบูรณ์
ซึ่งวันนี้เจ้าหน้าที่นิติเวช และพิสูจน์หลักฐาน ได้ลงพื้นที่ตรวจที่เกิดเหตุ ตรวจเก็บวัตถุพยานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องในทุกคดี และ คดีนี้ไม่ตัดจบที่นางแอม ทางการสืบสวนสอบสวน จะอยู่บนการตั้งสมมติฐาน ว่า มีผู้ให้คำปรึกษาหรือให้การสนับสนุนหรือไม่ ด้านใดบ้าง
ส่วนประเด็นการทำงานของพนักงานสอบสวนในพื้นที่เกิดเหตุกรณีพบคดีการเสียขีวิตแบบผิดธรรมชาติ แล้วไม่ส่งชันสูตรศพ ตามกฎหมายกำหนดนั้น ยอมรับว่า ในทางปฏิบัติทำได้ไม่ทั่วถึง เพราะในพื้นที่ห่างไกล ไม่มีแพทย์นิติเวช พนักงานสอบสวนจึงยึดความประสงค์ของญาติ ว่า ติดใจหรือไม่ ประสงค์ส่งศพผ่าชันสูตรหรือไม่ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะพบว่า กรณีหัวใจล้มเหลว หัวใจวาย ครอบครัวผู้สูญเสียมักไม่ติดใจ ไม่ประสงค์ ให้ผ่าชันสูตร
ทั้งนี้ ในอนาคตจะกำชับให้พนักงานสอบสวนทุกพื้นที่ เคร่งครัดในการปฎิบัติในการส่งศพผ่าชันสูตร ทุกกรณีที่พบว่า เป็นการเสียชีวิตแบบผิดธรรมชาติ