xs
xsm
sm
md
lg

“เอก ปปง.” จุก! “อัจฉริยะ” แจ้งจับรับสินบน “ภาคิน” เจ้าของเว็บพนัน “คิงพิน 88”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



“อัจฉริยะ” แจ้งความเอาผิดเพิ่ม “เอก ปปง.” รับสินบน “ภาคิน” เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ “คิงพิน 88” ซ้ำกางปีกป้องให้ย้ายออฟฟิศมาตั้งในโรงพิมพ์ภรรยาย่านบางขุนเทียน

วันนี้ (7 เม.ย.) ที่ ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เมื่อเวลา 11.00 น. นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.พงษ์ปณต บัวแก้ว รอง ผกก.สอบสวน กก.4 บก.ปปป. เพื่อแจ้งเอาผิด พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ รอง เลขาธิการ ปปง. ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบน หลังเชื่อว่า มีการเรียกรับเงินจากเจ้าของเว็บพนันออนไลน์ “คิงพิน 88”

นายอัจฉริยะ กล่าวว่า สาเหตุที่มาวันนี้เนื่องจากได้รับหลักฐานเป็นสลิปโอนเงินหน้าเคาน์เตอร์ธนาคาร ระบุว่า เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2564 นายภาคิน เจ้าของเว็บพนันออนไลน์คิงพิน 88 ได้โอนเงินให้กับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ จำนวน 560,000 บาท จากหลักฐานนี้ เชื่อได้ว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ รับสินบนจากเว็บพนันออนไลน์ เนื่องจากกลุ่มพนันออนไลน์นี้ เคยถูกตำรวจภาค 6 จับกุมช่วงปี 2564 จึงไปขอความช่วยเหลือกับ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ที่ในขณะนั้นเป็นรองผู้บังคับบัญชาตำรวจภูธรภาค 6 ซึ่ง พล.ต.ต.เอกรักษ์ ก็ให้คำปรึกษาเรื่องย้ายสถานที่ทำเว็บพนันออนไลน์มาอยู่ที่บริษัทโรงพิมพ์ของภรรยาในพื้นที่ย่านบางขุนเทียน โดยจ่ายค่าเช่าเดือนละ 1,500,000 บาท 18 เดือน รวมเป็นเงิน 27 ล้านบาท และเงินที่โอนให้ 560,000 บาทนี้ก็เป็นสินบน

นายอัจฉริยะ กล่าวต่อว่า กระทั่งต่อมา วันที่ 8 มิถุนายน 2565 ตำรวจ สน.บางขุนเทียน ได้นำหมายศาลบุกค้นโรงพิมพ์ภรรยา พล.ต.ต.เอกรักษ์ จับกุม นายภาคิน พร้อมพวกรวม 3 คน ซึ่งทั้งหมดได้ประกันตัวออกมา โดยตอนนี้คดีค้างมาแล้ว 2 ปียังไม่มีความคืบหน้า ตนมีข้อมูลว่า พล.ต.ต.เอกรักษ์ ได้ไปปรึกษาตำรวจยศ พล.ต.อ.นายหนึ่ง เมื่อ 2 วันก่อน หลังรู้ว่าจะถูกแฉเรื่องสลิปโอนเงินใบนี้ ซึ่งเชื่อว่าท้ายที่สุด พล.ต.ต.เอกรักษ์ อาจมีการอ้างว่าเงินจำนวนนี้เป็นเงินซื้อขายรถยนต์กับนายภาคิน แต่ตนก็มั่นใจว่าเอาผิดได้แน่นอน

นายอัจฉริยะ กล่าวถึงกรณีที่เมื่อวันที่ 5 เมษายน ได้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.อ.ธิติสรรค์ อุทธนผล หรือ อดีต ผกก.โจ้ มาแจ้งความเอาผิด พล.ต.ต.เอกรักษ์ กับลูกชายและพวก ฐานร่วมกันลักรถยนต์ไปขายและปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งการมาเมื่อวันก่อนยังไม่ได้ให้ปากคำ เพราะเอกสารยังไม่ครบ แต่วันนี้ได้รวบรวมหลักฐานมาเพิ่มเติม โดยมีเอกสารยืนยันว่า รถทั้ง 13 คัน เคยอยู่ในความครอบครองของอดีต ผกก.โจ้ จริง และมีเอกสารข้อมูลประวัติการโอนขายต่อทั้งหมด รวมทั้งเอกสารมอบอำนาจ เอกสารแต่งตั้งทนาย รวมหลายแฟ้ม รวมถึงไฟล์คลิปเสียงการสนทนาระหว่างน้องสาวอดีต ผกก.โจ้ กับผู้กองเบิร์ด ลูกชายของ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ซึ่ง ผู้กองเบิร์ด ยืนยันว่า เอารถคัมรี่สีเขียวของอดีต ผกก.โจ้ ไป และยังบอกด้วยว่า เอาคันไหนให้ใครไปบ้าง ซึ่งขอยืนยันว่า หลักฐานที่ตนนำมามอบให้ตำรวจนั้นทำให้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ดิ้นไม่หลุดแน่นอน

นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังได้โชว์เอกสารจากกรมการขนส่งทางบกที่ใช้โอนรถกระบะทะเบียน จจ 3500 ของอดีตผู้กำกับโจ้ โดยนายอัจฉริยะ ระบุว่า เอกสารนี้เป็นการปลอมลายเซ็นของอดีตผู้กำกับโจ้ โดยไม่มีลายเซ็นเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กำกับ อีกทั้งที่อยู่ของอดีตผู้กำกับโจ้ที่ระบุในเอกสารนี้ก็ไม่ตรงกับบัตรประชาชน และท้ายเอกสาร ทนายณัฐ ยังเขียนระบุว่า น้องสาวของอดีตผู้กำกับโจ้เป็นคนเซ็นเอกสารการโอนกรรมสิทธิ์ต่อหน้าทนายความ ทั้งที่ความจริงแล้ว ทนายณัฐไปหลอกให้น้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้ เซ็นกระดาษเปล่า เอกสารนี้จึงเป็นการเขียนข้อความเท็จ

“ที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ชี้แจงกับสื่อว่า ทะเบียนรถ อต55 ที่นำมาสวมรถตู้ BENZ VITO นั้น เป็นการเก็บป้ายทะเบียนไว้คืนอดีตผู้กำกับโจ้ เป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น เพราะถ้าจะคืนป้ายให้จริง ทำไมไม่คืนให้น้องสาวอดีตผู้กำกับโจ้ ซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบกรรมสิทธิ์ดำเนินการเรื่องรถแทน และเรื่องก็ผ่านมาหลายปีแล้ว โดยตนมองว่าตอนนี้ พล.ต.ต.เอกรักษ์ กำลังเมาหมัด เพราะโดนหลายเรื่อง พูดไม่เหมือนกันสักวัน” นายอัจฉริยะ กล่าว

นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า สำหรับเรื่องไทม์ไลน์ของการลักรถไปขายนั้นขออธิบายคร่าวๆ ว่า รถทั้ง 13 คันนั้น มี 2 คัน จอดอยู่ที่จังหวัดนครสวรรค์ ส่วนอีก 8 คัน อยู่ที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งส่วนหนึ่งจอดอยู่ที่บ้านของอดีตผู้กำกับโจ้ย่านรามอินทรา โดยในวันที่ตำรวจกองปราบปรามเข้าไปค้นบ้านช่วงสิ้นเดือนสิงหาคมก่อนอดีตผู้กำกับโจ้จะมอบตัว แล้วบอกว่าเจอรถ 29 คันนั้น ไม่ได้มีรถในกลุ่มที่ถูกเอาไปขายรวมอยู่ เพราะตำรวจกองปราบดูเฉพาะรถหรูเท่านั้น จากนั้นพออดีตผู้กำกับโจ้ถูกควบคุมตัวเข้าเรือนจำ วันที่ 1 กันยายน 2564 ขบวนการนี้ก็เข้าไปลักรถนำออกมาขาย พอวันที่ 15 กันยายน 2565 ตำรวจเข้าไปค้นอีกครั้ง จึงไม่เจอแล้ว ก่อนที่ภายหลัง ป.ป.ช. มีคำสั่งให้อายัดรถ 7 คันในจำนวน 13 คัน ทำให้ตอนนี้ยังมีอีก 6 คันที่ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน

นายอัจฉริยะ กล่าวด้วยว่า เรื่องนี้อดีตผู้กำกับโจ้เคยแต่งตั้งทนายความให้ไปร้องทุกข์ที่ สน.คันนายาว มาแล้วตั้งแต่ปี 2565 แต่ไม่มีความคืบหน้า จนครอบครัวร้อนใจ จึงมาขอความช่วยเหลือจากตน และเมื่อเช้านี้ตนได้เข้าไปหาอดีตผู้กำกับโจ้ในเรือนจำ ซึ่งอดีตผู้กำกับโจ้ ก็ฝากบอกไปยัง พล.ต.ต.เอกรักษ์ ว่า “อย่าสตรอเบอร์รี่มาก และที่ พล.ต.ต.เอกรักษ์ ทำกับเขายังมีอีกเยอะ” นอกจากนี้ นายอัจฉริยะ ยังบอกว่า หาก พล.ต.ต.เอกรักษ์ อยากจะฟ้องดำเนินคดีกับตน ก็ทำได้เลย

ส่วนกรณีที่ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้ไปฟ้องตนที่ศาลอาญา ในความผิดที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นประมาท และมีนัดหมายขึ้นไต่สวนวันที่ 19 มิถุนายน นี้ ว่า ตนเองไม่ได้ให้สัมภาษณ์หมิ่นประมาทว่า พล.ต.ต.ธีรเดช เกี่ยวข้องกับเรื่องยาเสพติด แต่เป็นเรื่องที่ห้ามไม่ให้พนักงานสอบสวนทำคดี สว.คนดัง เท่านั้น และยืนยันว่า วันนัดไต่สวนจะเดินทางไปด้วยตนเองและจะนำพยานหลักฐานไปยื่นเพื่อมัดตัว พล.ต.ต.ธีรเดช ด้วย





กำลังโหลดความคิดเห็น