xs
xsm
sm
md
lg

จำคุก 4 ปี สองโจ๋แนวร่วมม็อบป่วนเมือง พยายามเผารถยก ตร.ใต้ทางด่วนดินแดง เมื่อปี 64

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



ศาลอาญาตัดสินจำคุก 4 ปี สองโจ๋แนวร่วมม็อบป่วนเมือง พยายามเผารถยกตำรวจใต้ทางด่วนดินแดง เมื่อปี 2564 แต่ให้การรับสารภาพลดโทษเหลือ จำคุก 2 ปี

เมื่อเวลา 09.00 น.วันนี้ (15 มี.ค.) ที่ห้องพิจารณา 907 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี โจ๋เผารถตำรวจ หมายเลขดำ อ. 2534/2564 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 4 เป็นโจทก์ฟ้อง นายศักดิ์ดา อุดมศรี อายุ 20 ปี และนายกรรภิรมย์ บุตรโคตร อายุ 20 ปี สองวัยรุ่นแนวร่วมผู้ชุมนุมม็อบป่วนเมือง ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1-2 ตามลำดับ ในความผิดฐาน “ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่น ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดการวุ่นวายขึ้นในบ้านเมืองฯ”

อัยการโจทก์ ระบุฟ้องความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2564 จำเลยทั้งสองกับพวกอีกประมาณ 600 คน ได้ร่วมกันชุมนุมมั่วสุมเพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี โดยเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ มุ่งหน้าไปกรมทหารมหาดเล็กที่ 1 มหาดเล็กรักษาพระองค์ (รอ.) ถนนวิภาวดีฯ บ้านพักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด เข้มงวด โดยเป็นการชุมนุม มั่วสุมโดยไม่จัดมาตรการป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 ขณะที่กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน (บก.คฝ.) ตั้งขบวนขวางป้องกันกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อยุติการเคลื่อนขบวน จำเลยทั้งสองกับกลุ่มผู้ร่วมชุมนุมประมาณ 600 คน ได้ตะโกนด่าทอ ขว้างปาสิ่งของใส่กลุ่มเจ้าหน้าที่ และได้ร่วมกันวางเพลิงเผาทรัพย์รถบรรทุกพ่วงลากจูงยก ทะเบียนตราโล่ หมายเลข 06564 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้รับความเสียหาย เป็นเงินจำนวน 2.1 ล้านบาทเศษ

วันนี้ ศาลเบิกตัว นายศักดิ์ดา จำเลยที่ 1 มาจากเรือนจำ ส่วน นายกรรภิรมย์ จำเลยที่ 2 ได้รับการประกันตัว เดินทางมาพร้อมทนายความ

ศาลอาญาพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นเพื่อนร่วมสถาบันเดียวกัน ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุทั้งสองได้เข้าร่วมชุมนุมในวันดังกล่าว แต่ไม่ปรากฏว่าอยู่ฝ่ายใด พยานโจทก์ได้เบิกหลักฐานเป็นคลิปวิดีโอจากเฟซบุ๊กไลฟ์ของเพจรายงานข่าวแห่งหนึ่ง ปรากฏภาพจำเลยทั้งสองขว้างวัตถุติดไฟไปที่รถยกคันเกิดเหตุ แต่ว่าเพลิงไหม้ติดบริเวณล้อรถยก แต่ก็ดับไป จากนั้นก็ปรากฏบุคคลอื่นขว้างวัตถุติดไฟไปยังรถที่เกิดเหตุดังกล่าว แสดงว่า จำเลยทั้งสองไม่ใช่คนกลุ่มเดียวที่ก่อเหตุลักษณะนี้ ดังนั้น จำเลยทั้งสองได้ก่อเหตุขึ้น แต่ไม่ได้เผาไหม้รถยกดังกล่าว สาเหตุที่รถยกดังกล่าวเกิดเพลิงไหม้อาจจะเป็นการกระทำของบุคคลอื่น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานยืนยันว่าจำเลยทั้งสองจุดไฟแล้วขว้างไปที่รถยกเป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้ การกระทำของจำเลยยังไม่ใช่ความผิดสำเร็จ การกระทำไม่บรรลุผล จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของบุคคลอื่น

พิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 วรรคหนึ่งประกอบมาตรา 86 ข้อกำหนดที่ออกตามความมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ประกาศหัวหน้ารับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่องห้ามการชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดต่อโควิด-19 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันพยายามวางเพลิงเผาทรัพย์ของผู้อื่นซึ่งเป็นบทกฎหมายที่โทษหนักสุด จำคุกคนละ 4 ปี จำเลยทั้งสองรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษคนละกึ่งหนึ่ง คงจำคุกคนละ 2 ปี


กำลังโหลดความคิดเห็น