รายการ “ถอนหมุดข่าว” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP สถานีโทรทัศน์ NEWS1 ช่องยูทูป NEWS1 และเฟซบุ๊กแฟนเพจ NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันอังคารที่ 14 มีนาคม 2566 นำเสนอรายงานพิเศษ สกัดโจรออนไลน์ ปิดช่องดูดเงินแบงค์ ลูกค้าอย่าโลภจนเซ่อ!
กว่าธนาคารแห่งประเทศไทย จะออกมาตรการล้อมคอกแบบเข้มข้น เพื่อสกัดกั้นโจรออนไลน์ดูดเงินจากบัญชีชาวบ้าน ก็ต้องเรียกว่า มาช้าเป็นเต่าคลาน
เพราะมีคนตกเป็นเหยื่อแก๊งดูดเงิน จนหมดเนื้อหมดตัวกันไปเยอะแยะ ปรากฏเป็นข่าวหลายปีต่อเนื่อง
แต่“มาช้า ยังดีกว่าไม่มา” ซึ่งการมาช้าของแบงก์ชาติ ก็มีข้ออ้าง ต้องรอให้มีกฎหมายรองรับด้วย ต่อให้มีเทคโนโลยี แต่ไม่มีกฎหมายอนุญาตให้ทำ ก็ทำอะไรไม่ได้
มาตรการสุดเจ๋งที่แบงก์ชาติ จะเอามาป้องปรามแก๊งดูดเงิน คือ ธนาคารทุกแห่ง ต้องให้ลูกค้าของตัว ทำการสแกนใบหน้า หากต้องโอนเงิน 50,000 บาทขึ้นไปต่อครั้ง หรือโอนเงินไม่เกิน 200,000 บาทต่อวัน หรือจะทำรายการขอเพิ่มวงเงินโอน
วิธีการนี้ เรียกว่า การยืนยันตัวตนด้วย Biometric ผ่านการใช้ใบหน้า หรือ Face Recognition ซึ่งที่ผ่านมา ธนาคารไทยก็มีการเก็บข้อมูลสแกนใบหน้าลูกค้าไว้บ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่ครบ 100%
ธนาคารใดที่มีความพร้อม ให้เปิดบริการนี้ได้เลยในเดือน มี.ค. 2566 ส่วนใครที่ไม่พร้อม ต้องทำให้พร้อม ภายในเส้นตาย เดือน มิ.ย. 2566
หากธนาคารใดอยากเข้มงวด จะกำหนดกรอบวงเงินต่ำกว่านี้ก็สามารถทำได้ แบงก์ชาติไม่ห้าม แต่ค่ากลางมาตรฐานคือ 50,000 บาทต่อครั้ง
ถามว่าตัวเลข 50,000 บาทมาจากไหน? ทางแบงก์ชาติชี้แจงว่า 50,000 บาทเป็นวงเงินที่สมดุลระหว่างความเสี่ยงกับความสะดวก ถ้าดูจากสถิติ พบว่ามีเพียง 1% ที่โอนเงินเกิน 50,000 บาทต่อครั้ง
ถ้าสแกนแล้วได้ผลดี ขั้นตอนต่อไป แบงก์ชาติจะยกระดับให้มีการสแกนใบหน้าในการถอนเงินเบิกเงินด้วย เรียกว่าคุมเข้มกันหลายชั้น เอาให้โจรกระดิกตัวไม่ได้เลย
มากกว่านั้น แบงก์ชาติก็เรียกร้องไปถึงธนาคาร ต้องมีมาตรการตรวจจับธุรกรรมต้องสงสัย ขณะบัญชีมีการเคลื่อนไหวผิดปกติ และต้องมีช่องทางติดต่อเร่งด่วน หรือฮอตไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง แยกจากช่องทางติดต่อปกติ
จะเห็นว่ามาตรการทุกอย่างล้วนดีงาม แต่ธนาคารเองก็ต้องปรับตัวอย่างแรงไม่น้อย ยกตัวอย่างช่องทางโทร.ติดต่อนั้น ที่ผ่านมา ธนาคารบางแห่งถูกลูกค้าด่าหูอื้อ เพราะโทร.ติดต่อได้ยากเย็นแสนเข็ญ
เริ่มต้นมา ก็เจอแทรกข้อความโฆษณาประชาสัมพันธ์โน่นนี่นั่น โยกโย้ ชักช้าเสียเวลา ระบบจัดการโยนไปโน่นไปนี่ สุดท้ายก็มาเฉลยว่า สายไม่ว่าง ให้โทรใหม่
เรียกว่าลูกค้าที่กำลังมีปัญหาร้อนใจ เจอแบบนี้คงแทบขาดใจ ถือว่าสิ่งที่ธนาคารหลายแห่งทำอยู่ มันไม่สอดรับกับสถานการณ์โจรชุมอย่างทุกวันนี้
แต่ละนาทีที่ธนาคารงุ่มง่าม เงินของลูกค้าที่ถูกโจรดูด ก็จะวิ่งลิ่วๆ ผ่านบัญชีม้า ไปแล้วไม่รู้กี่ทอดต่อกี่ทอด จึงเป็นเรื่องที่ธนาคารต้องยอมลงทุน ให้ฮอตไลน์มีประสิทธิผล ลูกค้าอุ่นใจ
ที่ผ่านมา ธนาคารเองก็ตัวดี ชอบส่ง sms แนบลิงก์ให้คลิก ไปหาบริการอะไรต่างๆ ของตัว ต่อจากนี้ไป แบงก์ชาติก็ห้ามไม่ให้ทำอีกแล้ว เพราะ sms แนบลิงก์ เป็นช่องทางที่โจรสวมรอยหลอกเหยื่อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ก่อนหน้านี้ ธนาคารก็เคยมีมาตรการ ให้ใช้โทรศัพท์ 1 เครื่อง ต่อ 1 บัญชี แต่เป็นลูกค้าเองนั่นแหละ ที่บ่นๆ กันว่า อยากทำธุรกรรมผ่านโทรศัพท์ได้หลายๆ เครื่อง เรียกหาความสะดวกสบายของตัว ทั้งที่เป็นความเสี่ยง
เทคโนโลยีสแกนใบหน้า หากย้อนไปสัก 20 ปี จะปรากฏในภาพยนตร์แนวไฮเทคล้ำยุคแต่บัดนี้ มันมาถึงแล้วในชีวิตจริงของเราๆ ท่านๆ เพราะมันตอบสนองครบทั้งความปลอดภัยและสะดวกรวดเร็ว
อย่างด่านตรวจคนเข้าเมืองของไทย ก็ใช้การสแกนใบหน้ามาก่อนแล้ว ช่วยลดการต่อคิวเป็นแถวยาวเหยียดได้แบบทันตาเห็น
การบินไทย ก็เพิ่งเริ่มบริการนำร่อง เปิดสแกนใบหน้าลูกค้าตามความสมัครใจ ระบบจะเชื่อมต่อกับทุกจุดบริการของสนามบินสุวรรณภูมิ ผลที่ตามมาคือความสะดวกรวดเร็ว และปลอดภัย
อย่างไรก็ตาม คาดเดาได้ว่ามิจฉาชีพออนไลน์ ก็คงคิดค้นวิธีการมาเอาชนะมาตรการสแกนใบหน้าของแบงก์ชาติอีกนั่นแหละ
อย่างแรกที่พวกมันสามารถทำได้เลย คือโอนเงินด้วยตัวเลข 49,999.99 บาท เพื่อเลี่ยงการสแกนใบหน้า นั่นเอง ถึงจะใช้มาตรการทันสมัยและดีอย่างไร ถ้าลูกค้าคนฝากเงินโลภจนเซ่อ ก็คงตกเป็นเหยื่อโจรออนไลน์อยู่เหมือนเดิม
--------------------------------
**หมายเหตุ
ดาวโหลดแอป Sondhi App ได้แล้ว
ระบบ iOS ไปที่ AppStore : https://apps.apple.com/th/app/sondhi-app/id1588046647
ระบบ android ไปที่ Google Play : https://play.google.com/store/apps/details?id=com.sondhitalk.asia.android
สมัครสมาชิกได้แล้ววันนี้
รายเดือนเพียง เดือนละ 99 บาท
รายปี 990 บาท (10 เดือน แถม 2 เดือน )
ถ้ามีปัญหาการใช้งาน app หรือการสมัครสมาชิกใน app ติดต่อสอบถามได้ที่ Line id : @sondhitalk หรือ https://lin.ee/Skns1k1