รองโฆษกอัยการ เผย อัยการคดีพิเศษยื่นฟ้อง “เเยม” อดีตนางเอก กับสามี ทำเว็บโป๊-พนันออนไลน์ หลายร้อยล้าน โดนเเยกสำนวนคดีปล่อยกู้เก็บดอกเกินกฎหมายเป็นอีกคดี
วันนี้ (12 มี.ค.) นายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยความคืบหน้าคดีที่อัยการสำนักงานคดีพิเศษสำนักงานอัยการสูงสุด ได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนกองบังคับการกองปราบปราม พร้อมความเห็นสมควรฟ้อง นายภูมิพัฒน์ หรือ อั้ม ประเสริฐวิทย์ อายุ 42 ปี พร้อมภรรยา น.ส.ธมลพรรณ์ หรือ แยม ประเสริฐวิทย์ อายุ 40 ปี อดีตดาราระดับนางเอก ในความผิดฐานพนันออนไลน์และสำนวนฟอกเงิน ความว่า ด้วยเมื่อวันที่ 28 ก.พ.ที่ผ่านมา กองบังคับการปราบปรามได้ส่งสำนวนคดีอาญาที่ 35/2565 พ.ต.ท.ปรัชญา บุญยืน กล่าวหา นายสุด ภูวสิษฐ์ กับพวกรวม 16 คน ผู้ต้องหา ข้อหาร่วมกันเพื่อประสงค์แห่งการค้าทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งรูปภาพ ภาพโฆษณา รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือสิ่งใดอันลามก, ร่วมกันจัดให้มีการเล่นหรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่น หรือเข้าพนันในการเล่นทางลื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำผิดความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงิน, ร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังเป็นทางการค้าปกติโดยไม่ได้รับอนุญาต มายังสำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด โดย นายวิรุฬห์ ฉันท์ธนนันท์ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีพิเศษ ได้มอบหมายให้สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 เป็นผู้รับผิดชอบพิจารณาและมีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว
จากการพิจารณาสำนวนมีพยานหลักฐาน ว่า ผู้ต้องหาทั้ง 16 ได้ร่วมกันแบ่งหน้าที่กันทำ จัดให้มีการเล่นการพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์ผ่านเว็บไซต์ยูฟ่าและแพร่ภาพยนตร์ลามกที่มีภาพเปลือยอวัยวะเพศ และภาพชายหญิงแสดงการร่วมเพศอันมีลักษณะลามก เสื่อมเสียศีลธรรมอันดี ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต โดยให้ประชาชนเข้าดูได้ และเรียกเก็บเงินในการสมัครเป็นสมาชิก และมีการโอนเงินระหว่างบัญชีม้า บัญชีพัก บัญชีจ่าย และมีการถอนเงินออกจำนวนมากรวมกันหลายร้อยล้านบาท อันมีลักษณะสมคบกันฟอกเงินและร่วมกันฟอกเงิน จึงมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด
ต่อมาในวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 ได้ยื่นฟ้องคดีนี้โดยมี นายภูมิพัฒน์ ประเสริฐวิทย์ เป็นจำเลยที่ 2 และน.ส.ธมลพรรณ์ ประเสริฐวิทย์ เป็นจำเลยที่ 7 ต่อศาลอาญา เป็นคดีหมายเลขดำที่ อ. 669/2566 กับพวกรวม 12 คน ในความผิดฐานร่วมกันเพื่อประสงค์แห่งการค้า ทำให้แพร่หลายโดยประการใดๆ ซึ่งรูปภาพ ภาพ โฆษณา รูปถ่าย ภาพยนตร์ แถบบันทึกเสียง แถบบันทึกภาพ หรือสิ่งอื่นใดอันลามก, ร่วมกันจัดให้มีการ เล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวน โดยทางตรงหรือทางอ้อม ให้ผู้อื่นเข้าเล่นพนันใน การเล่นทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคน ขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการ สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน ส่วนผู้ต้องหาอีก4 คนก็ได้มีความเห็นควรสั่งไว้เช่นกันเเต่อยู่ระหว่างหลบหนี ซึ่งพศาลนัดสอบคำให้การจำเลยวันที่ 14 มี.ค.เวลา 09.00 น.
เเต่ในส่วนข้อหา ร่วมกันให้บุคคลอื่นกู้ยืมเงินโดยเรียกดอกเบี้ยเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด และร่วมกันประกอบธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลังเป็นทางการค้าปกติโดยไม่ได้รับอนุญาต ได้กล่าวหา นายเชษฎ์ชัย หงส์คำ ผู้ต้องหาที่ 2 นายภูมิพัฒน์ หรือ อั้ม ประเสริฐวิทย์ ผู้ต้องหาที่ 3 และ น.ส.ธมลพรรณ์ หรือ แยม ประเสริฐวิทย์ ผู้ต้องหาที่ 7 ได้มีคำสั่งให้แยกสำนวนการสอบสวนเป็นอีกคดีต่างหาก เนื่องจากพยานหลักฐานมีความเชื่อมโยงเกี่ยวกับการมีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งอาจเป็นความผิดฐานสมคบกันฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงิน โดยพนักงานสอบสวนยังสอบสวนประเด็นนี้ในสาระสำคัญไม่ครบถ้วน และคดีจะครบฝากขังครั้งที่ 7 ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายในวันที่ 9 มี.ค. 2566 เมื่อการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงให้แยกสำนวนคดีต่อไป
น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด ได้รับรายงานผลการพิจารณาตรวจสอบสำนวนคดีดังกล่าวของคณะทำงานสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5 สำนักงานคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ผู้รับผิดชอบคดีดังกล่าวแล้ว ได้กำชับให้ทุกหน่วยงานภายในสังกัดสำนักงานอัยการสูงสุดทั้งในส่วนกลางและต่างจังหวัด ร่วมกันยกระดับการอำนวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนด้วยความเท่าเทียม ซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรม และมีจิตสาธารณะ เพื่อให้การปฏิบัติงานในฐานะของการเป็นหนึ่งในองค์กรสายธารแห่งกระบวนยุติธรรม เกิดประโยชน์สูงสุดแก่รัฐและประชาชนอย่างแท้จริง