"โชติวัฒน์" ปธ.ศาลฎีกา ลงพื้นที่ตรวจราชการศาลจังหวัดภูเก็ต ศาลอุทธรณ์ ภาค 8 และศาลอื่น ย้ำภารกิจต้องอำนวยความยุติธรรมให้ประชาชนในพื้นที่
เมื่อวันที่ 1 มี.ค. นายโชติวัฒน์ เหลืองประเสริฐ ประธานศาลฎีกา พร้อมคณะ เดินทางตรวจเยี่ยม และมอบนโยบายแก่ผู้พิพากษา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ผู้พิพากษาสมทบและผู้ประนีประนอม ในศาลจังหวัดภูเก็ต ศาลแรงงานภาค 8 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดภูเก็ตและศาลแขวงภูเก็ต
ซึ่งมีนายอาคม รุ่งแจ้ง ประธานศาลอุทธรณ์ภาค 8 นายดิษพล รัตนโสภณ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดภูเก็ต นายสุชาติ สุนทรีเกษม อธิบดีผู้พิพากษาศาลแรงงานภาค 8 นายธีระพล มิตรประยูร ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดภูเก็ต และนายจิรศักดิ์ ศิริรักษ์ ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลแขวงภูเก็ต พร้อมคณะ ให้การต้อนรับ
ทั้งนี้ ประธานศาลฎีกา ได้กล่าวถึงศาลอุทธรณ์ภาค 8 ว่าเป็นศาลยุติธรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นศาลสูงที่มีหน้าที่พิจารณาพิพากษาคดีในชั้นอุทธรณ์และทบทวนคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในพื้นที่ภาค 8 ดังนั้นงานยกร่างคำพิพากษาจึงมีความสำคัญมาก กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์จึงต้องทำหน้าที่ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ในการกลั่นกรองตรวจสอบทั้งข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง แนวคำพิพากษาศาลฎีกา และเหตุผลในคำพิพากษา เพื่อให้คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ถูกต้อง เป็นธรรม และมีคุณภาพ นอกจากนี้ ประธานศาลฎีกายังได้กล่าวชื่นชมศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่บริหารจัดการคดีได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่มีคดีที่ค้างพิจารณาเกิน 6 เดือน ทั้งยังมีอาคารที่ทำการที่มีความสง่างาม มีความพร้อมในการอำนวยความยุติธรรมและให้บริการแก่ประชาชน
ขณะที่ศาลจังหวัดภูเก็ต เป็นศาลที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นศาลสำคัญของศาลยุติธรรมในภาค 8 ผู้พิพากษาในอดีตของศาลจังหวัดภูเก็ตได้สั่งสมผลงานและชื่อเสียงทำให้ประชาชนในจังหวัดภูเก็ตเคารพและให้เกียรติเสมอมา เมื่อจังหวัดภูเก็ตมีความเจริญมากขึ้น ข้อพิพาทและอรรถคดีต่าง ๆ ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่งผลให้ศาลจังหวัดภูเก็ตมีปริมาณคดีที่ยุ่งยากสลับซับซ้อนที่ค้างพิจารณาอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลและผู้พิพากษาจึงต้องร่วมแรงร่วมใจในการบริหารจัดการคดี โดยพึงหาวิธีการหรือเทคนิคที่อาจจะแตกต่างจากศาลอื่นเพื่อทำให้คดีที่ค้างพิจารณาสำเร็จได้ภายในระยะเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้ ผู้พิพากษาในศาลจังหวัดภูเก็ตส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีวิสัยทัศน์ พึงนำความรู้ความสามารถมาพัฒนาการทำงาน เพื่อนำองค์กรศาลยุติธรรมให้เจริญก้าวหน้าและเป็นที่นับถือของประชาชนต่อไป
สำหรับศาลแรงงานภาค 8 เป็นศาลชำนัญพิเศษ มีภารกิจหลักในการพิจารณาพิพากษาข้อพิพาททางด้านแรงงานระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้ปริมาณคดีแรงงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่ศาลแรงงานภาค 8 ก็สามารถบริหารจัดการคดีได้เป็นอย่างดีโดยสามารถพิจารณาคดีให้แล้วเสร็จด้วยความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ บุคลากรของศาลแรงงานภาค 8 นอกจากผู้พิพากษา ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่แล้ว ยังประกอบไปด้วยผู้พิพากษาสมทบ และผู้ประนีประนอม ซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ มีความรู้ความสามารถ และมีบทบาทสำคัญในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาททางด้านแรงงาน หากบุคลากรทุกภาคส่วนมีความสามัคคีร่วมมือร่วมใจกันทำงานเป็นทีมและใช้ศักยภาพของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ ย่อมธำรงความเชื่อมั่นศรัทธาให้แก่ประชาชนอันเป็นเป้าหมายหลักตามนโยบายประธานศาลฎีกาได้อย่างแท้จริง
ประธานศาลฎีกา ยังเน้นย้ำถึงภารกิจของศาลเยาวชนและครอบครัวด้วยว่า นอกจากการแก้ไขบำบัดฟื้นฟูเด็กและเยาวชนซึ่งเป็นหน้าที่หลักแล้ว ยังควรต้องจัดทำกิจกรรมและโครงการสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ เพื่อพัฒนาสังคมและสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชนด้วย โดยผู้พิพากษาสมทบซึ่งเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ถือเป็นกำลังสำคัญของศาลเยาวชนและครอบครัวที่จะผลักดันให้โครงการดังกล่าวสัมฤทธิ์ผล พร้อมกันนี้ประธานศาลฎีกายังได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารงานศาลยุติธรรมว่า ควรวางแผนขั้นตอนการทำงานให้เป็นระบบ และเพิ่มความสะดวกรวดเร็วในการให้บริการประชาชน นอกจากนี้การเขียนคำพิพากษา ควรต้องบรรยายทั้งข้อกฎหมาย ข้อเท็จจริง มีเหตุผลโดยละเอียด ชัดเจน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของคู่ความทุกฝ่าย หากคู่ความฝ่ายใดไม่พอใจในผลของคำพิพากษาก็สามารถใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาได้
ส่วนคดีซึ่งอยู่ในอำนาจการพิจารณาของศาลแขวงแม้จะมีปริมาณค่อนข้างมาก แต่ส่วนใหญ่เป็นคดีที่ไม่ยุ่งยาก ข้อพิพาทไม่สลับซับซ้อน การบริหารจัดการคดี จึงต้องเร่งรัดให้คดีเสร็จไปโดยใช้ระยะเวลาน้อยที่สุดเพื่อมิให้คดีคั่งค้าง แม้คดีในศาลแขวงจะกำหนดระยะเวลาพิจารณาให้แล้วเสร็จไว้ไม่เกิน 6 เดือน แต่หากศาลใดสามารถบริหารจัดการคดีได้เสร็จเร็วกว่ากำหนดย่อมเป็นผลดีแก่ประชาชนและศาลนั้น ๆ โดยแนะนำการบริหารจัดการคดีหลายวิธีด้วยกัน เช่น การเพิ่มคดีเข้าสู่กระบวนการไกล่เกลี่ยระงับข้อพิพาท การกำหนดวันนัดคดีจัดการพิเศษเพิ่มเติม และการนัดพิจารณาคดีนอกเวลาทำการ เป็นต้น
โดยภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมมอบนโยบายแก่ผู้พิพากษา ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ ตลอดจนคณะผู้พิพากษาสมทบ และผู้ประนีประนอมแล้ว ประธานศาลฎีกาได้พบปะและให้กำลังใจผู้พิพากษาที่ห้องพัก รวมทั้งทักทาย พูดคุย ให้กำลังใจ และรับฟังปัญหาข้อขัดข้องจากเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามส่วนงานต่าง ๆ และขอให้ทุกคนทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อให้บริการประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
