MGR Online - “สมศักดิ์” ชี้ กฎหมาย JSOC มีผลบังคับใช้แล้ว เฝ้าระวังบุคคลก่อเหตุคดีร้ายแรง ความผิดทางเพศกับเด็ก มาตรการควบคุมสูงสุด 10 ปี เตรียมประเดิมติดกำไล EM 29 ราย
วันนี้ (23 ม.ค.) เวลา 11.30 น. ณ อาคารกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) ถนนแจ้งวัฒนะ กรุงเทพฯ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม แถลงข่าว “การบังคับใช้พระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในความผิดเกี่ยวกับเพศหรือที่ใช้ความรุนแรง พ.ศ. 2565” หรือ กฎหมาย JSOC โดยมีคณะผู้บริหารกระทรวงยุติธรรม กรมราชทัณฑ์ และกรมคุมประพฤติ เข้าร่วม
นายสมศักดิ์ เปิดเผยว่า กฎหมาย JSOC ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 65 และมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (23 ม.ค.) โดยมีมาตรการพิเศษของกฎหมายและการปฏิบัติ 4 มาตรการสำคัญ ได้แก่ 1. มาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด รวมถึงมาตรการทางการแพทย์ 2. มาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ 3. มาตรการคุมขังภายหลังพันโทษ และ 4. การคุมขังฉุกเฉิน
นายสมศักดิ์ เผยว่า โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้ที่ทําความผิดในคดีฆาตกรรม การข่มขืนกระทําชําเรา การกระทําความผิดทางเพศกับเด็ก การทําร้ายจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย การทําร้ายร่างกายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้รับอันตรายสาหัส รวมทั้ง การนําตัวบุคคลไปเรียกค่าไถ่ (ผู้กระทําความผิด 3 กลุ่ม ได้แก่ (1) เพศ (2) ชีวิตและร่างกาย และ (3) เรียกค่าไถ่) ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา จํานวน 12 มาตรา ปัจจุบันมีผู้ต้องขังในเรือนจําที่ทําความผิดคดีดังกล่าว จำนวน 17,807 ราย
“ทั้งนี้ ระยะเวลาในการใช้มาตรการได้ตั้งแต่ 7 วัน ถึง 10 ปี และทุกมาตรการรวมกันจะต้องไม่เกิน 10 ปี เพื่อป้องกันสังคมและผู้เสียหายจากการกระทำความผิดที่อาจเกิดขึ้นซ้ำอีกและเพื่อส่งเสริมการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทำความผิด รวมถึงการเฝ้าระวังการก่ออาชญากรรมสะเทือนขวัญ เช่น กรณี ไอซ์ หีบเหล็ก, สมคิด พุ่มพ่วง ฯลฯ โดยคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องคำสั่งตามกฎหมาย เพื่อรักษาสมดุลระหว่างการป้องกันสังคม และการคุ้มครองสิทธิอย่างเหมาะสม”
นายสมศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับผู้พ้นโทษกลุ่มแรกที่จะบังคับใช้มาตรการดังกล่าว มีจำนวน 29 ราย ทยอยปล่อยตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (24 ม.ค.) จนถึงสิ้นเดือนมกราคม โดยจะขออนุมัติศาลให้ติดกำไล EM กับผู้พ้นโทษเพื่อติดตามความประพฤติได้ หากระหว่างนี้พบกระทำความผิดซ้ำก็อาจถูกคุมขังอีกโดยมีระยะเวลาไม่เกิน 3 ปี ส่วนมาตรการทางการแพทย์นั้นจะใช้สำหรับผู้ที่ยังอยู่ในเรือนจำ โดยกรมราชทัณฑ์เป็นผู้ดำเนินการ
รมว.ยธ. เผยอีกว่า ในวันนี้ตนได้ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำทันทีหลังกฎหมายมีผลบังคับใช้ ซึ่งองค์ประชุมประกอบด้วยหน่วยงานสำคัญ อาทิ สำนักงานศาลยุติธรรม สำนักงานอัยการ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข สำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมถึงกระทรวงยุติธรรม และมีกรมคุมประพฤติเป็นฝ่ายเลขานุการ คณะกรรมการชุดนี้จะทำหน้าที่ในการกำหนดนโยบายในการป้องกันการกระทําความผิดซ้ำ รวมถึงให้ข้อเสนอแนะมาตรการแก้ไขฟื้นฟูและมาตรการสำคัญอื่นๆ ที่จะนำไปสู่การจัดทำแนวทางเพื่อป้องกันการกระทำผิดซ้ำ
ซึ่งการประชุมในวันนี้ได้พิจารณานโยบายที่สำคัญ เช่น การนําอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัวมาใช้เป็นเครื่องมือในการติดตามเฝ้าระวังผู้กระทำความผิด และการนําอาสาสมัครคุมประพฤติ ภาคีเครือข่ายต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วมในการเฝ้าระวังผู้กระทำผิดในชุมชน ตลอดจนได้ให้คำแนะนำ คณะกรรมการพิจารณากำหนดมาตรการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำในการออกกฎระเบียบหรือการดำเนินป้องกันการกระทำความผิดซ้ำ
โดยคณะกรรมการพิจารณาชุดดังกล่าว จะมีรองปลัดกระทรวงยุติธรรม เป็นประธาน ทำหน้าที่ในการพิจารณากำหนดมาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ รวมถึงพิจารณากำหนดมาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษ หรือดำเนินการตามที่คณะกรรมการป้องกันการกระทำความผิดซ้ำหรือรัฐมนตรีมอบหมาย ล่าสุด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาคณะกรรมการชุดนี้ได้มีการประชุมกำหนดการดำเนินการ วางกรอบทิศทางการทำงานตามอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการข้างต้นซึ่งจะนำไปสู่การบรรลุตามเจตจำนงค์ของกฎหมายต่อไป
“การมีกฎหมายฉบับนี้ทําให้มีกลไกในการติดตามและเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดที่กระทําความผิดเกี่ยวกับเพศหรือกระทําความผิดที่ใช้ความรุนแรงที่พ้นโทษแล้ว โดยใช้มาตรการที่หลากหลาย ทั้งมาตรการแก้ไขฟื้นฟูผู้กระทําความผิด มาตรการเฝ้าระวังนักโทษเด็ดขาดภายหลังพ้นโทษ มาตรการคุมขังภายหลังพ้นโทษ และการคุมขังฉุกเฉิน รวมทั้งกําหนดหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการเฝ้าติดตามกลุ่มบุคคลเหล่านี้ไว้อย่างชัดเจน ซึ่งจะสร้างความปลอดภัยแก่สังคมและประชาชนมากยิ่งขึ้น ผมยังเชื่อมั่นกับคำพูดที่ว่า “ถ้าสังคมรับรู้มีบุคคลอันตรายอยู่ในสังคมนั้น ก็จะไม่มีใครเสียชีวิต” รมว.ยธ.กล่าว