xs
xsm
sm
md
lg

ออกหมายจับเพิ่ม 12 ผู้ต้องหาคดี “ตู้ห่าว” อัยการยันสำนวนไม่อ่อน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



คณะทำงานคดี “ตู้ห่าว” เอี่ยวยาเสพติด แถลงออกหมายจับเพิ่ม 12 ราย อธิบดีอัยการฯ เผย ตำรวจทำสำนวนคดีรัดกุม เน้นไปที่การรวบรวมหลักฐาน ไม่มุ่งเน้นผู้ต้องหากระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง ยันไม่พบข้อบกพร่องตามที่ “ชูวิทย์” ออกมาแฉ

เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (4 ม.ค.) ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนเเจ้งวัฒนะ มีการประชุมคณะทำงานกำกับการสอบสวนและการดำเนินคดีสำคัญ แต่งตั้งคณะทำงานกำกับการสอบสวนและการดำเนินคดีสำคัญ กับ นายชัยณัฐร์ หรือ ตู้ห่าว กรณ์ชายานันท์ กับพวก ผู้ต้องหาฐานร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาอี, เฮโรอีน) อันเป็นการมีไว้จำหน่ายเพื่อการค้า อันเป็นการกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ, สมคบกันกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและสนับสนุนช่วยเหลือผู้กระทำ ความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด, ร่วมกันเปิดสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตฯและมีส่วนร่วมในองค์กร อาชญากรรมข้ามชาติ ได้ประชุมคณะทำงานจนถึงเวลา 11.00 น.เศษ

ต่อมาได้มีการแถลงความคืบหน้าการสอบสวน โดยมี นายกุลธนิต มงคลสวัสดิ์ อธิบดีอัยการ สำนักงานการสอบสวน พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และนายโกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมแถลงความคืบหน้าการสอบสวนคดี


นายโกศลวัฒน์ กล่าวว่า ตามที่อัยการสูงสุด ได้มีคำสั่งมอบหมายพนักงานสอบสวน โดยให้พนักงานสอบสวนกองบัญชาการ ตำรวจนครบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการ ตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ทำการสอบสวน และพนักงานอัยการ สำนักงานการสอบสวน สำนักงานคดียาเสพติด สำนักงานต่างประเทศ ร่วมสอบสวนกับพนักงานสอบสวนและให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ

วันนี้ เวลา 09.30 น. ได้มีการประชุมคณะทำงานกำกับการสอบสวนและ การดำเนินคดีสำคัญ ซึ่งมี น.ส.นารี ตัณฑเสถียร อัยการสูงสุด และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการ ตำรวจแห่งชาติ ในฐานะที่ปรึกษา เข้าร่วมประชุม โดย นายสมเกียรติ คุณวัฒนานนท์ รองอัยการสูงสุด หัวหน้าคณะทำงาน และคณะทำงาน ได้รายงานความคืบหน้าการสอบสวนคดีนายชัยณัชร์ หรือ ตู้ห่าว กับพวก โดยพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการที่ร่วมสอบสวนได้ดำเนินการร่วมกันสืบสวนสอบสวนรวบรวม พยานหลักฐานมาอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานขอให้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับผู้ต้องหา ไว้แล้วรวม 25 หมาย จับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 17 คน ในวันที่ 31 ธ.ค. 2565 ได้ขออนุมัติให้ศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มเติมอีก 12 หมาย และสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 2 คน ได้แก่ MR.FU JI ZING และ นายกฤติธี เหมหงส์ ในความผิดที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ออกหมายจับผู้ต้องหา 12 หมาย เป็นความผิดฐานสมคบกัน เพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด และได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุ ที่ได้สมคบกัน โดยการกระทำมีลักษณะเป็นการกระทำขององค์กรอาชญากรรม ร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ประเภท 2 ไว้ในครอบครอง และจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1 ประเภท 2 โดยไม่ได้รับอนุญาตอันเป็น การกระทำเพื่อการค้า มีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐาน ฟอกเงิน และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงิน เพราะเหตุที่ได้สมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน จำนวน 2 หมายและความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินจำนวน 10 หมาย และคณะทำงาน จะพิจารณาขยายผลการสอบสวนดำเนินคดีกับ ผู้กระทำความผิดต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่ าสำนวนคดีที่ บช.น.ส่งให้อัยการดำเนินการต่อมันเละหรือสำนวนอ่อนตามที่นายชูวิทย์กล่าวหาหรือไม่

นายกุลธนิต กล่าวว่า จากการที่พนักงานอัยการได้รับมอบหมายให้ไปร่วมสอบสวน ขั้นตอนแรก คือ เรานำสำนวนการสอบสวนมาตรวจสอบดูว่าพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการอย่างไรไปบ้างแล้ว ซึ่งจากการตรวจสอบสำนวนโดยละเอียด ปรากฏว่า ในภาพรวมสำนวนการสอบสวนเป็นการกำหนดแนวทางการสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ทำสำนวนมาดีทุกอย่าง การสอบสวนมุ่งเน้นการสอบสวนเพื่อดำเนินคดีในการกระทำของผู้ต้องหา แต่ไม่ได้มุ่งเน้นว่าผู้ต้องหากระทำผิดฐานใดฐานหนึ่ง ไปมุ่งเน้นรวบรวมพยานหลักฐานว่า กลุ่มผู้ต้องหากระทำความผิดที่เกี่ยวข้องโดยมีบุคคลใดบ้าง ซึ่งอัยการครวจดูแล้วก็ได้สอบสวนเพิ่มเติมบางส่วนที่ไม่สมบูรณ์ จนสามารถออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มได้ โดยอาศัยสำนวนหลัก จากพนักงานสอบสวนที่รวบรวมมาได้ ประเด็นที่กล่าวว่าสำนวนการสอบสวนหละหลวมไม่สมบูรณ์ ความจริงแล้วมีความครบถ้วน อัยการเพียงแต่มาหาจุดเชื่อมโยงเพิ่มเติม


เมื่อถามว่า การแจ้งข้อกล่าวหาล่าช้าจะเป็นช่องโหว่ ให้เป็นข้อต่อสู้ของนายตู้ห่าวหรือไม่ นายกุลธนิต กล่าวว่า ไม่เป็นช่องโหว่ เพราะการแจ้งกล่าวข้อหาเป็นเพียงกระบวนการหนึ่ง ส่วนเนื้อหาที่สอบสวนมา ได้รวบรวมการกระทำของผู้ต้องหาว่าเป็นความผิดฐานใดเพื่อให้การสอบสวนลุล่วง

โดยคณะทำงานจะส่งสำนวนโดยให้มีระยะเวลาเหลือให้อัยการสูงสุดพิจารณาพอสมควรซึ่งคาดว่าจะครบกำหนดฝากขังครั้งที่ 7 ในวันที่ 20ม.ค.2566 ซึ่งตามกำหนดก็จะต้องเหลือให้ อัยการสูงสุดพิจารณา 1 ฝาก ซึ่งอาจจะเป็นวันที่ 8 ม.ค. หรืออาจจะเกินไปไม่มาก

ด้าน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ ผบ.ตร.กล่าวว่า คดีนี้การกระทำนายตู้ห่าวถือเป็นตัวการหลัก และจากการร่วมกันสอบสวนกับอัยการจนถึงวันนี้ตั้งแต่วันที่ 26 ธ.ค.มีความคืบหน้าชัดเจน ผู้ต้องหาทั้งหมดก็เป็นเครือข่ายเดียวกัน กรณีที่นายชูวิทย์ปล่อยคลิปออกมาพาดพิงถึงการทำงานของกองบัญชาการตำรวจนครบาลและนายตำรวจอีกหลายคนเพื่อให้เกิดความโปร่งใสและความชัดเจนว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างนั้นหรือไม่อย่างไรตามที่มีการกล่าวหาว่ามีการทำสำนวนอ่อนและสำนวนเสียหาย ตนได้มีการออกคำสั่งตั้งคณะคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง โดย พล.ต.อ.วิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ พร้อมด้วย นายตำรวจระดับผู้บัญชาการ 2 นายสังกัดจเรตำรวจเเห่งชาติ ผบช.ก. และ รอง ผบช.ก, ผู้บังคับการกองปราบปรามได้ร่วมเป็นคณะกรรมการ ประเด็นคลิปต่างๆ ที่มีการกล่าวหา เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด ซึ่งตนได้สั่งการไปว่าให้รายงานผลข้อเท็จจริงภายใน 15 วันและวันนี้ตนยังได้เรียน อสส.ว่าจะขอเรียนเชิญพนักงานอัยการจำนวน 2-3 คนมาเป็นที่ปรึกษาคณะกรรมการเพื่อให้เรื่องที่มีการกล่าวหาว่ามีการทำให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดีจะทำให้สังคมเกิดความชัดเจน โต้กันไปโต้กันมามันก็พูดไม่จบข้อสงสัยอะไรถ้าใครมีคลิปหรือข้อสงสัยอะไรก็เอามาให้คณะคณะกรรมการชุดนี้ดู คณะกรรมการชุดนี้จะเป็นผู้ให้ความกระจ่างทั้งหมดส่วนที่มีการเข้าใจผิดกันในอีกหนึ่งประเด็นนั้นที่มีการเข้าใจกันว่า ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ตามหนังสือซึ่งตามหนังสือที่ ผบช.น.ส่งสำนวนให้ อสส.พิจารณาคดีนอกราชอาณาจักร ซึ่งทาง อสส.ได้พิจารณาแล้วว่าคดีนี้เป็นคดีนอกราชอาณาจักรและตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด

ชุดแรก เป็นคณะทำงานกำกับคดีมีรองอัยการสูงสุดเป็นหัวหน้าคณะทำงาน โดยมีอัยการสูงสุดและตนเป็นที่ปรึกษาคณะทำงาน
ชุดที่ 2 อสส.ได้ตั้งตนเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบลงนามในสำนวนเสนอ อสส.พิจารณา และมีพนักงานสอบสวนของ 4 กองบัญชาการ ประกอบด้วย ตำรวจ ปส.ตำรวจสอบสวนกลาง และ ปอท. ส่วนกองบัญชาการตำรวจนครบาลมีตำรวจที่ร่วมรับผิดชอบคดีนี้อีก 42 คน จะเห็นว่า เราทำงานอย่างต่อเนื่องอยากให้ประชาชนมั่นใจว่าตนเป็นผู้กำกับดูแลคดีไม่ใช่ ผบช.น.

ส่วนความคืบหน้าคดีจากการที่เข้าร่วมประชุมทั้งเป็นทางการและไม่เป็นทางการที่ทำงานร่วมกับอัยการก็มั่นใจว่าพยานหลักฐานว่าจะสามารถดำเนินคดีกับนายตู้ห่าว และพวกได้ส่วนพวกที่กล่าวหาว่าตำรวจทำสำนวนไม่ดีสักวันจะทำให้ความจริงปรากฏว่าเรื่องที่กล่าวหามานั้นมันจริงหรือไม่อย่างไร

เมื่อถามว่า ในวันที่ 27 ธ.ค.ที่ผ่านมา มีนายตำรวจระดับสูง และ ป.ป.ส.ไปตรวจผับจินหลิงรวมถึงรถยนต์ เรื่องนี้ได้รับทราบรายงานข้อเท็จจริงหรือไม่อย่างไรและผลการตรวจดังกล่าวมีผลกระทบต่อพยานหลักฐานหรือรูปคดีหรือไม่

ผบ.ตร.ตอบว่า เท่าที่คุยกับทางอัยการเรื่องนี้ไม่มีผลกระทบทางรูปคดีเพียงแต่ว่าการเข้าไปดังกล่าวถูกต้องตามระเบียบขั้นตอนหรือไม่ ต้องให้คณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงที่ตั้งขึ้นมาเป็นคนชี้แจงว่ามีใครทำอะไรผิดขั้นตอนหรือไม่ ตนไม่ขอตอบให้เป็นการชี้นำให้คณะกรรมการชี้แจงทีเดียว

ด้าน นายกุลธนิต ตอบคำถามในประเด็นเดียวกันว่าตั้งแต่เกิดเหตุพนักงานสอบสวนได้มีการตรวจเก็บพยานหลักฐานทั้งหมดไว้แล้วและก็มีการเข้าไปตรวจสอบซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยมีคณะทำงานอัยการเข้าไปร่วมด้วย ซึ่งเป็นเพียงการแสวงหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมในตัวทรัพย์สินที่อยู่ในที่เกิดเหตุ ป.ป.ส.ก็มีการอายัดไว้แล้ว

เมื่อถามว่า ได้แจ้งข้อหานายตู้หาลัยเรือนจำครบถ้วนทุกคดีหรือไม่

อธิบดีสำนักงานอัยการสอบสวน กล่าวว่า กำลังดำเนินการอยู่

เมื่อถามต่อว่า กรณีที่ นายชูวิทย์ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ องค์กรตำรวจและอัยการจะเข้าข่ายฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือไม่

ผบ.ตร.กล่าวว่า ต้องมาดูกันว่ามีใครได้รับความเสียหายหรือไม่อย่างไรและต้องไปดูแต่ละคำพูดแต่ตอนนี้แต่ตอนนี้ขอเน้นเรื่องการขยายผลทำคดีเป็นหลักก่อนส่วนเรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกทีอยากให้สื่อมวลชนเข้าใจการทำงานว่าการทำงานมันไม่ได้ง่ายอย่างเช่นนักมวย เวลาไปชกมวย กองเชียร์ก็มองว่าทำไม่เตะตัดขา ไม่ต่อย โดยที่กองเชียร์ไม่ได้รู้ว่านักมวยทำอะไรอยู่อย่างการสอบพยานเราสอบไปแล้ว 400 ปากและจะสอบเพิ่มเติมอีกหรือไม่

เมื่อถามเปล่าว่ารู้สึกกดดันหรือไม่ที่มีการนำหลักฐานในคดีออกมาโชว์ต่อสื่อมวลชน

ผบ.ตร.กล่าวว่า ในความเห็นของตนตอบว่ากลุ่มผู้ต้องหาเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพล การเผยแพร่ข้อมูลผ่านสื่อซึ่งไม่น่าเป็นผลดีต่อคดี เเต่จะเป็นผลลบเนื่องจากว่าเนื่องจากว่าทางฝ่ายผู้ต้องหาจะเห็นช่องทางและนำมาต่อสู้ในคดีขอให้มั่นใจว่าตนเข้ามาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนแล้ว และทางอัยการก็ส่งทีมชุดใหญ่มา เดี๋ยวทางเจ้าหน้าที่จะทำงานเอง ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันทำงานเอง
กำลังโหลดความคิดเห็น