xs
xsm
sm
md
lg

“ปราปต์” ยื่นเอกสารชี้แจงเพิ่ม ยันไม่เกี่ยวข้องคดีฟอกเงิน Forex-3D

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม



MGR Online - ปราปต์ปฎล” พร้อมที่ปรึกษากฎหมาย มอบเอกสารเพิ่มเติมให้ดีเอสไอ ชี้แจงประเด็นรถหรูแฟนสาวเอี่ยวฟอกเงิน Forex-3D

สืบเนื่องจากกรณีนักแสดงหนุ่มรุ่นใหญ่ ปราปต์-ปราปต์ปฎล สุวรรณบาง ถูกคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ตั้งข้อหาคดีฟอกเงิน คดีพิเศษเลขที่ 36/2563 ต่อมาเมื่อวันที่ 5 ต.ค.ที่ผ่านมา นักแสดงหนุ่มได้เดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหา พร้อมปฏิเสธ ก่อนเตรียมเอกสารยื่นชี้แจงเพิ่มเติมกับพนักงานสอบสวนคดีพิเศษภายใน 15 วัน ตามที่มีการรายงานข่าวไปแล้วนั้น

วันนี้ (19 ต.ค.) ผู้สื่อข่าวได้รับรายงานว่า นายปราปต์ปฎล ได้เข้ายื่นเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมข้อกล่าวหากับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแล้ว

โดย นางกนกรัตน์ นิ่มสมุทร บู้ท ที่ปรึกษากฎหมายของนักแสดงหนุ่ม เปิดเผยว่า ตน และ ปราปต์ปฎล ได้เข้าพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพื่อยื่นเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมเกี่ยวกับข้อกล่าวหา ตั้งแต่เวลา 11.00 น. ของวันนี้ เพื่อชี้แจงว่าทำไมคุณปราปต์จึงขับรถคันดังกล่าวในวันนั้น โดยครั้งแรกคือเราแนะนำสถานที่เอารถไปฝากจอดเฉยๆ น้องเขาก็เป็นคนขับรถไปจอดเองตอนน้ำท่วมเดือน เม.ย. 63 ซึ่งก็มีหลักฐานค้นหาจากกูเกิลก็เจอรายงานน้ำท่วมจริง จากนั้นก่อนที่ ดีเอสไอจะเข้าไปยึดรถในวันที่ 16 ก.ค. 63 คุณปราปต์ได้นำรถไปจอดไว้ตั้งแต่วันที่ 13 ก.ค. 63 เพราะคุณกู๋กี๋ร้องขอให้ช่วยนำรถย้ายจากห้องเช่าคอนโดที่รัชดา ไปจอดยังที่ปลอดภัย เนื่องจากกู๋กี๋ป่วยเข้ารับการผ่าตัดรักษาตัวในโรงพยาบาล ไม่สามารถขับรถไปได้เอง ยืนยันว่า มีเอกสารตรงนี้ เช่น ใบรับรองแพทย์

สำหรับเอกสารที่นำมายื่นชี้แจงเพิ่มเติมในวันนี้ เป็นเอกสารประกอบท้ายคำชี้แจง เช่น แนวทางคำพิพากษาศาลฎีกา ว่า คดีฟอกเงิน ศาลใช้หลักองค์ประกอบใดเพื่อไปค้านกับการแจ้งข้อกล่าวหา เพราะอัยการอาจจะสั่งไม่ฟ้องก็ได้หากได้เห็นเอกสารชี้แจงพยานหลักฐานที่ตนและคุณปราปต์ได้แนบไป

นางกนกรัตน์ กล่าวอีกว่า ตนขอยืนยันว่า กู๋กี๋ (แฟนสาวของปราปต์) ไม่เคยทราบว่าตัวเองถูกตั้งข้อกล่าวหา ไม่รู้ว่าเป็นผู้ต้องหาในคดีฉ้อโกง ในขณะที่ ดีเอสไอ ไปยึดรถปี 63 กู๋กี๋ไม่เคยรู้และไม่เคยหลบเลี่ยงดีเอสไอ เพราะถ้ากู๋กี๋ตกเป็นผู้ต้องหา ดีเอสไอสามารถติดต่อเขาได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว หรือเรียกมาชี้แจงได้อยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา ดีเอสไอไม่เคยออกเอกสารใดๆ เรียกกู๋กี๋เข้ามาเลย แต่กู๋กี๋เพิ่งจะมาถูกแจ้งข้อกล่าวหาในวันที่ 1 ก.ย. 64

เมื่อถามว่า กู๋กี๋ทราบหรือไม่ ว่า นายอภิรักษ์ โกฎธิ ซึ่งเป็นอดีตสามีได้ถูกดีเอสไอแจ้งข้อกล่าวหา นางกนกรัตน์ อธิบายว่า กู๋กี๋ก็ทราบจากข่าวพร้อมๆ กับทุกคนตอนเป็นข่าวทางสื่อ นายอภิรักษ์ มาถูกแจ้งข้อกล่าวหาเมื่อปี 62 (คดีพิเศษเลขที่ 153/62) ซึ่งกู๋กี๋ได้เลิกรากับนายอภิรักษ์ก่อนที่นายอภิรักษ์จะถูกแจ้งข้อกล่าวหา มีหลักฐานชัดเจน

ส่วนประเด็นเรื่องรถแอสตัน มาร์ติน นางกนกรัตน์ อธิบายต่อว่า รถคันดังกล่าวยังไม่ได้เป็นชื่อนายอภิรักษ์ ยังไม่ได้เป็นชื่อใครทั้งนั้น เนื่องจากรถยังไม่มีทะเบียน และยังไม่มีเล่มทะเบียน ส่วนที่มีรายงานว่านายอภิรักษ์ซื้อรถคันดังกล่าวด้วยเงินสด ตรงนี้ถูกต้อง แต่เป็นสัญญาการซื้อระหว่างนายอภิรักษ์และโชว์รูม แต่ไม่เกี่ยวกับเล่มทะเบียน และกู๋กี๋รับรถคันนี้มาจากนายอภิรักษ์จริง เราได้ชี้แจงมาตลอด เขารับรถมาก่อนจะมีการเลิกรากัน ซึ่งหมายถึงเป็นช่วงก่อนนายอภิรักษ์จะถูกดำเนินคดี

ส่วนประเด็นที่ทำไมกู๋กี๋ไม่คืนรถให้ทางดีเอสไอ ตนต้องสอบถามว่าทำไมดีเอสไอจึงไม่มีการแจ้งอายัด ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในการออกหนังสือแจ้งอายัด และที่สำคัญ หากดีเอสไอเล็งเห็นว่ากู๋กี๋มีความเกี่ยวข้องก็ควรจะเรียกให้เข้าไปให้การ หรือแจ้งข้อกล่าวหา แต่ที่ผ่านมาไม่มี มีแต่การเข้ามายึดเลย ดังนั้น ระหว่างปี 62 ที่ดีเอสไอตั้งข้อกล่าวหา นายอภิรักษ์ ในคดีแชร์ Forex-3D ทำไมจึงไม่มีการออกหมายเรียกกู๋กี๋ในฐานะภรรยา เพื่อมาให้การในฐานะพยาน หรือผู้ต้องหา แต่กลับมาถูกให้การในฐานะพยาน หลังดีเอสไอเข้ายึดทรัพย์แล้ว และตั้งข้อกล่าวหาในเวลาต่อมา

นางกนกรัตน์ กล่าวอีกว่า ตนยังเคยพูดกับคุณปราปต์เลยว่าหากในวันนั้น ตนไม่ได้เดินทางไปต่างประเทศแล้วเป็นคนขับรถคันนั้นไปจอดตอนกู๋กี๋รักษาตัวที่โรงพยาบาล ตนก็คงจะถูกแจ้งข้อกล่าวหาฟอกเงินเหมือนกับที่คุณปราปต์โดน ตนมองว่า ตรงนี้ต้องเข้าใจในข้อกฎหมายฟอกเงินก่อน เพราะกฎหมายระบุไว้ชัดเจนมาก ว่า คุณต้องมีเจตนาต้องการเอาทรัพย์หรือเงินที่ได้ตรงนี้มาเปลี่ยนให้เป็นเงินที่ถูกต้องตามกฎหมาย นั่นหมายความว่า คุณต้องแปลงสภาพทรัพย์ คุณต้องแปลงสภาพเงิน แต่ถามว่าเงินที่นายอภิรักษ์ ได้มาเขาก็นำมาซื้อรถคันนี้ ดังนั้น รถคันนี้เป็นรถที่ได้มาจากทรัพย์ที่จะต้องมาพิสูจน์ว่าเป็นรถที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งเป็นหน้าที่ของอภิรักษ์ที่จะต้องไปพิสูจน์ แต่เหตุใดดีเอสไอจึงไม่ออกหนังสือหรือมีคำสั่งยึดอายัดรถคันนี้ หรือเรียกกู๋กี๋ไปชี้แจงให้การตั้งแต่ดำเนินคดีกับนายอภิรักษ์

นางกนกรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ได้ยื่นเอกสารชี้แจงเพิ่มเติมไปแล้ว คงต้องรอดูว่าทางดีเอสไอมีความเห็นสมควรสั่งฟ้องหรือไม่ และถ้าในชั้นดีเอสไอมีการสั่งฟ้องก็ต้องไปรอดูในชั้นของอัยการว่าจะมีความเห็นทางคดีสั่งฟ้องหรือไม่ อย่างไรก็ตาม ตนก็เชื่อในหลักนิติธรรมนิติรัฐ เพราะพฤติการณ์ของคุณปราปต์ตามที่ดีเอสไอใช้แจ้งข้อหาเพียงแค่นำรถไปจอดตามคำร้องขอของกู๋กี๋ในวันที่ป่วยขับเองไม่ได้เท่านั้น ไม่ได้นำไปจ่ายแจก เปลี่ยนสภาพ หรือเปลี่ยนสีรถ เปลี่ยนทะเบียนด้วยซ้ำ ดังนั้น พฤติการณ์ดังกล่าวมันเข้าองค์ประกอบการฟอกเงินอย่างไร

นางกนกรัตน์ ทิ้งท้ายว่า หากดีเอสไอหรือทางอัยการเห็นว่าสมควรสั่งฟ้องคุณปราปต์จริงๆ ก็ขอให้เร่งรีบสั่งฟ้อง เพราะว่าจะได้ไม่ต้องมานั่งรอเวลา สามารถสั่งฟ้องแยกเป็นล็อตๆ ได้เลย และที่สำคัญคือกู๋กี๋ยังไม่เคยได้รับหมายเรียกในคดีฟอกเงินให้เข้ามารับทราบข้อกล่าวหา ร่วมกันฟอกเงิน แต่คุณปราปต์กลับโดนแจ้งข้อกล่าวหาก่อน ทั้งนี้ การฟ้องข้อหากับคุณปราปต์ ตนถือว่าในทางกฎหมายเรียกว่าการฟ้องเคลือบคลุม เพราะเป็นการตั้งข้อกล่าวหาโดยที่เราไม่รู้ว่าจะแก้ข้อกล่าวหาอย่างไร

ด้านนักแสดงหนุ่ม ปราปต์-ปราปต์ปฎล เปิดเผยว่า หากย้อนไป ในระหว่างที่นายอภิรักษ์ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ตนยืนยันว่า กู๋กี๋ก็ได้ใช้รถคันดังกล่าวในชีวิตประจำวันปกติมาอย่างต่อเนื่อง ไม่มีการแจ้งคดีใดกับกูกี๋ ตนมองว่าระหว่างที่ไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากับกู๋กี๋ ดังนั้น กู๋กี๋ก็ขับรถคันนี้เป็นปกติ ซึ่งหากมองในทางกลับกัน หากกู๋กี๋ถูกแจ้งข้อกล่าวหาพร้อมๆ กับนายอภิรักษ์ แล้วตนไปขับรถคันนี้แล้วนำไปจอด อันนี้ค่อยมีเหตุผลที่พอเข้าใจได้ว่าถูกแจ้งข้อกล่าวหาแล้วทำไมถึงไม่คืนทรัพย์หรือว่านำทรัพย์สินหนี แต่กู๋กี๋กลับถูกแจ้งข้อกล่าวหาหลังจากดีเอสไอบุกไปยึดทรัพย์เมื่อวันที่ 16 ก.ค. 63 และที่น่าสงสัยอีก คือทำไมถึงไม่มีการแจ้งข้อกล่าวหากู๋กี๋ ทั้งทั้งที่นายอภิรักษ์ถูกแจ้งข้อกล่าวหาไปตั้งแต่ปี 62 เพิ่งมาแจ้งปี 64

ปราปต์-ปราปต์ปฎล กล่าวอีกว่า ข้อกล่าวหาฟอกเงินเขามุ่งประเด็นอย่างเดียว คือ การที่ตนขับรถคันดังกล่าวไปจอดแค่นั้นเอง ตรงนี้ตนจึงต้องไปแก้ข้อกล่าวหาว่าเหตุใดตนจึงขับรถคันนั้นไปจอด และมีเจตนาอย่างไร การที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหาเช่นนี้ก็ถือว่าเสียเวลาและเสียชื่อเสียง ยิ่งกรณีที่ผู้ใหญ่ได้บอกว่าให้ตนไปเคลียร์ตัวเองให้จบก่อน ค่อยกลับมาทำงาน ตรงนี้ตนจะเสียหายไปอีกนานแค่ไหน ก็คงต้องตีความหมายไปถึงชั้นของอัยการว่าจะมีการสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง ดังนั้น จะสั่งฟ้องหรือไม่สั่งฟ้อง ตนก็อยากให้ดำเนินการเร็วๆ จะได้รีบกลับไปทำงาน เพราะเรามั่นใจในส่วนของเราอยู่แล้วว่าเราไม่เกี่ยวข้อง เราสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ แต่การใช้ระบบกล่าวหาแล้วรอให้ทางเราไปแก้ข้อกล่าวหาในชั้นศาล ตรงนี้ตนมองว่า ควรใช้ดุลพินิจก่อนแจ้งข้อกล่าวหาหรือไม่
กำลังโหลดความคิดเห็น