xs
xsm
sm
md
lg

ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ยกฟ้อง “กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน” ยื่นขอให้เพิกถอนเครื่องหมายรับรองสินค้า “ฮาลาล”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน (แฟ้มภาพ)
ศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯ ยกฟ้องตัวแทน “กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน” ยื่นขอให้ “กรมทรัพย์สินทางปัญญา-สนง.คณะกรรมการกลางอิสลามฯ” เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองสินค้า “ฮาลาล" ชี้ วินิจฉัยรับรองโดยชอบแล้ว ไม่ขัดต่อหลักกฎหมาย ศีลธรรมอันดี

วันนี้ (19 ต.ค.) ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลาง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ ทป 195/2562 ที่ นายจรูญ วรรณกสิณานนท์ ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน เป็นโจทก์ ยื่นคำร้องขอให้กรมทรัพย์สินทางปัญญา, สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย จำเลยร่วม เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองฮาลาล

คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า ได้ยื่นคำร้องต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา และ สำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองฮาลาล โดยอ้างเหตุผลว่า คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ขอจดเครื่องหมายรับรองกับสินค้า 30 รายการ หลังจากที่รับจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองฮาลาล ได้ดำเนินการอันขัดต่อกฎหมาย ขัดต่อความสงบสุข ความเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน กล่าวคือ การรับรองเครื่องหมายดังกล่าวมิได้ดำเนินการโดยสุจริตใจ เพราะคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ขอจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองในสินค้าไม่กี่ประเภท แต่ได้รับรองผลิตภัณฑ์สินค้าอื่นหลายสิบรายการ

การรับรองตามเครื่องหมายรับรองนั้น คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้สมรู้ร่วมคิดกับคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ออกระเบียบการเก็บเงินฮาลาลกับผู้ประกอบการ ซึ่งระเบียบที่ออกมาเป็นบทเฉพาะของศาสนาอิสลาม ไม่เกี่ยวกับคนศาสนาอื่น และได้มีคำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 73/2562 เรื่อง ไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า คำขอเลขที่ 372520

ทั้งนี้ โจทก์ได้อุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ที่พิจารณาและวินิจฉัยไม่เพิกถอนเครื่องหมายรับรองฮาลาล ตามที่โจทก์ร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ที่ 73/2562 และขอให้จำเลยมีคำสั่งเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง คำขอเลขที่ 372520

จำเลยให้การปฏิเสธว่า เมื่อวันที่ 22 ต.ค. 2541 คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ยื่นคำขอจดทะเบียนรับรอง คำขอเลขที่ 372520 ต่อมาโจทก์ได้ยื่นขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้า คณะกรรมการเครื่องหมายการค้า ได้พิจารณาคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง (คำขอเลขที่ 372520) ประเด็นที่ 1 โจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองหรือไม่ เห็นว่า การที่โจทก์อ้างว่าเครื่องหมายรับรองของผู้ได้รับจดทะเบียนขัดต่อความสงบเรียบร้อยตามมาตรา 62 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 นั้น บุคคลใดก็มีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนได้ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองดังกล่าวได้

ประเด็นที่ 2 เครื่องหมายรับรองของผู้ได้รับจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือไม่ เห็นว่า เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวอ้างเหตุแห่งการเพิกถอนนี้ เกิดจากผู้ได้รับจดทะเบียนใช้เครื่องหมายรับรองดังกล่าวไม่ตรงกับรายการสินค้าที่จดทะเบียนไว้ หรือใช้ไปฟ้องร้องบริษัทต่างๆ หรือไม่ได้นำไปจดทะเบียนต่อนายทะเบียน หรือใช้โดยไม่มีอำนาจ หรือใช้โดยไม่มีมาตรฐานในการรับรองสินค้า หรือ เรียกค่าธรรมเนียมโดยไม่มีอำนาจ แต่เมื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานที่โจทก์อ้างส่งไว้ ก็เป็นเพียงเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการแจ้งผลการวินิจฉัยตามที่ทางโจทก์ได้มีการร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐอื่นๆ ซึ่งถือว่าเป็นความเห็นของเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานนั้นๆ เท่านั้น จึงไม่อาจนำมาเป็นเหตุผลให้ต้องเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองของผู้ได้รับจดทะเบียนแต่อย่างใด ดังนั้น หลักฐานจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังตามที่โจทก์กล่าวอ้าง ระหว่างพิจารณาสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ยื่นคำร้องว่า เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามกฎหมายในผลของคดีนี้ ศาลอนุญาตให้เข้าเป็นจำเลยร่วมได้


พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าขอให้จำเลยวินิจฉัยว่า ผู้ได้รับเครื่องหมายการค้าได้ปฏิบัติตามมาตรา 62, 63, 68, 82, 83 หรือไม่ การที่โจทก็ยื่นฟ้องต่อศาล ภายหลังจากที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าได้มีคำสั่งไม่เพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า จึงเป็นการอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการตาม พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 มาตรา 65 วรรคสอง การพิจารณาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานของโจทก์จึงต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำขอให้เพิกถอนเครื่องหมายรับรอง โจทก์อ้างเหตุในการขอให้เพิกถอนว่า หลังจากจำเลยร่วมได้รับการจดทะเบียนจากนายทะเบียนแล้ว ได้ดำเนินการขัดต่อกฎหมาย ไม่เป็นไปตามระเบียบที่กฎหมายบัญญัติไว้ และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ดังนั้น การที่คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าจะพิจารณาว่าจะเพิกถอนการจดทะเบียนเครื่องหมายรับรอง เพราะไม่เป็นไปตามระเบียบที่กฎหมายบัญญัติไว้ และขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ของประชาชนหรือไม่นั้น โจทก์ต้องแสดงให้ได้ว่าเครื่องหมายรับรองเป็นเครื่องหมาย ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรัฐประศาสตร์โนบาย ตามมาตรา 62 ประกอบมาตรา 81 และเหตุผลที่ยกขึ้นอ้างกับพยานหลักฐานที่พิสูจน์ข้อเท็จจริง ก็ต้องเป็นเหตุผลและพยานหลักฐานที่พิสูจน์ว่าเครื่องหมายรับรอง เป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรัฐประศาสโนบาย ซึ่งพ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534 ได้กำหนดว่าเป็นลักษณะที่ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนไว้ตามมาตรา 8 (9) และการพิจารณาว่าเครื่องหมายใด มีลักษณะต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนตามบทบัญญัติมาตรานี้ ต้องพิจารณาจากลักษณะที่ปรากฏอยู่ในตัวเครื่องหมายนั้นเอง กล่าวคือ ต้องพิจารณาจากลักษณะที่ปรากฏอยู่ในเครื่องหมายที่เป็นภาพถ่าย ภาพวาด ภาพประดิษฐ์ ตรา ชื่อ คำ ข้อความ ตัวหนังสือ ตัวเลข ลายมือชื่อ กลุ่มของสี รูปร่าง หรือรูปทรงของวัตถุนั้นเองว่า มีลักษณะเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน

หรือรัฐประศาสโนบายอยู่ในตัวเครื่องหมายนั้นเองหรือไม่ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ลักษณะที่ปรากฏอยู่ ที่ตัวเครื่องหมายทำให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าเห็นได้อย่างแจ้งชัดว่าเป็นเครื่องหมายที่มีลักษณะขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือขัดต่อรัฐประศาสโนบาย บทบัญญัติ มาตรา 8 นี้มิได้บัญญัติให้นายทะเบียนเครื่องหมายการค้าต้องพิจารณาว่าผู้ขอจดทะเบียนนำเครื่องหมายไปใช้โดยชอบหรือไม่ คำร้องขอให้เพิกถอนเครื่องหมายรับรอง

ที่โจทก์ยื่นต่อคณะกรรมการก็ไม่มีข้อความและเหตุผลที่แสดงให้เห็นว่าเครื่องหมายรับรอง มีรูปลักษณ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือนำเครื่องหมายมาจดทะเบียนโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมายที่รับรองสิทธิในเรื่องอื่นไว้อย่างไร จึงเป็นการขัดต่อรัฐประศาสโนบาย ที่โจทก์เบิกความว่า จำเลยรับจดทะเบียน เครื่องหมายรับรองฮาลาล ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์และมีคำว่าอิสลามได้ จึงเป็นการไม่ชอบ เป็นความคิดเห็นของโจทก์ที่ไม่มีหลักฐานแสดงว่าเครื่องหมายที่เป็นตัวอักษรอาหรับ ที่อ่านว่า “ฮาลาล” เป็นสัญลักษณ์ของศาสนาอิสลาม และคำว่า “THE ISLAMIC COMMITTEE OFFICE OF THAILAND” ก็เป็นชื่อของจำเลยร่วมที่สามารถนำมาใช้เป็นองค์ประกอบของเครื่องหมายรับรองได้ และการพิจารณาว่าเครื่องหมายที่ขอจดทะเบียนมีลักษณะที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ จะพิจารณาจากเครื่องหมายนั้นๆ ว่า มีรูปลักษณะหรือความหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือไม่ ส่วนที่โจทก์นำสืบและอ้างพยานหลักฐาน ที่เป็นเอกสาร วัตถุสิ่งของ ภาพถ่าย ภาพเคลื่อนไหวหรือภาพวิดีโอ มีข้อเท็จจริงเพียงว่าโจทก์หรือบุคคลอื่นใดเป็นผู้พบเห็น เครื่องหมายรับรองที่แสดงบนผลิตภัณฑ์สินค้า หรือมีผู้กล่าวถึงเครื่องหมายรับรอง และจำเลยร่วมมีการดำเนินการเกี่ยวกับเครื่องหมายรับรองอย่างไร และเป็นเรื่องที่บุคคลอื่นถ่ายทอดหรือนำเสนอ ซึ่งเป็นพยานบอกเล่าที่ไม่สามารถตรวจสอบยืนยันได้ว่าเป็นความจริงที่ถูกต้องอีกทั้งไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ว่าเครื่องหมายรับรองขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือรัฐประศาสโนบายตามมาตรา 62 แห่ง พ.ร.บ.เครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534


และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ว่าโจทก์เกี่ยวข้องกับสินค้าและเครื่องหมายรับรองใด และการที่จำเลยจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองเป็นการโต้แย้งกับสิทธิในสินค้าหรือเครื่องหมายรับรองที่โจทก์เกี่ยวข้องด้วยอย่างไร จึงยกอ้างได้ว่าโจทก์เป็นผู้มีส่วนได้เสียตามมาตรา 63 และมาตรา 63 ก็บัญญัติความหมายไว้ชัดเจนว่า เจ้าของเครื่องหมายการค้านั้นไม่เคยมีการใช้เครื่องหมายการค้าสำหรับสินค้าที่ได้จดทะเบียนไว้เลย หมายถึง จดทะเบียนเครื่องหมายการค้าไว้โดยตั้งใจที่จะไม่ใช้กับสินค้า จึงเป็นการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าโดยไม่สุจริต แต่จำเลยร่วมได้อนุญาตให้ใช้เครื่องหมายรับรองกับสินค้าของบุคคลอื่น จึงไม่ใช่เรื่องที่จำเลยร่วมจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรานี้ ส่วนที่โจทก์อ้างมาตรา 68 แห่งพระราชบัญญัตินี้ บทบัญญัติดังกล่าวหมายถึงการที่เจ้าของเครื่องหมายการค้าจะอนุญาตให้บุคคลใดใช้เครื่องหมายการค้าที่ได้รับการจดทะเบียนแล้วของตน และได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้าด้วยนั้น จะต้องจดทะเบียนต่อนายทะเบียน ส่วนการโต้แย้งคำสั่งนายทะเบียนเป็นสิทธิเฉพาะตัวของเจ้าของเครื่องหมายการค้าและผู้ขอจดทะเบียน และมาตรา 82 กับมาตรา 83 เป็นขั้นตอนของการขอจดทะเบียนเครื่องหมายรับรองและกฎหมายไม่ได้ให้สิทธิแก่โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกที่จะคัดค้านคำสั่งของนายทะเบียน และสัญญาอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายการค้าตามมาตรา 68 ก็ไม่ใช้กับการอนุญาตให้บุคคลอื่นใช้เครื่องหมายรับรองตาม มาตรา 91 โจทก์มีความเข้าใจคลาดเคลื่อนต่อบทบัญญัติมาตรา 8 มาตรา 62 มาตรา 63 มาตรา 65 มาตรา 68 มาตรา 82 และมาตรา 83 แห่งพระราชบัญญัติเครื่องหมายการค้า พ.ศ. 2534

และกล่าวอ้างเหตุผลในคำขอให้เพิกถอนเครื่องหมายรับรองต่อคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าและคำฟ้องที่อุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการดังกล่าว กับนำสืบหลักฐานที่พิสูจน์ข้อเท็จจริงอย่างอื่นซึ่งไม่ใช่การพิสูจน์ว่าเครื่องหมายรับรองขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประศาสโนบาย ตามมาตรา 62 หรือจำเลยร่วมมิได้ตั้งใจโดยสุจริตที่จะใช้เครื่องหมายรับรอง ตามมาตรา 63 ในการที่โจทก์ยื่นคำขอให้คณะกรรมการเครื่องหมายการค้าพิจารณาและมีคำสั่งเพิกถอน หรือไม่เพิกถอนเครื่องหมายตามมาตรา 65 วรรคหนึ่ง อีกทั้งพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบ ก็ไม่ใช่เพื่อการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่าเครื่องหมายรับรองเป็นเครื่องหมายที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนหรือรัฐประศาสโนบาย นอกจากนี้ การดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯกลาง มี พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศและวิธีพิจารณาคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2539 ประกอบข้อกำหนดคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ พ.ศ. 2540 ที่บัญญัติให้ศาลและคู่ความทุกฝ่ายต้องปฏิบัติ คู่ความจึงมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามด้วยความเคารพต่อกฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายและไม่ให้เกิดการเอารัดเอาเปรียบกันในทางคดี แต่โจทก์อ้างพยานหลักฐานหลายลำดับที่ไม่ได้ระบุรายการไว้ในบัญชีระบุพยานและเป็นพยานหลักฐานที่ฟุ่มเฟือยไม่เกี่ยวกับประเด็นในคดี จึงเป็นพยานหลักฐานที่ห้ามมิให้รับฟัง ตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลทรัพย์สินทางปัญญาฯมาตรา 26 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 87(1) (2) ประกอบมาตรา 88 อีกด้วย พิจารณาพยานหลักฐานแล้ว เหตุผลที่ปรากฏในคำสั่งคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าที่ 73/2562 เป็นการวินิจฉัยภายในกรอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้องได้บัญญัติไว้ คำสั่งของคณะกรรมการเครื่องหมายการค้าจึงชอบแล้ว 
กำลังโหลดความคิดเห็น