ตำรวจปากเกร็ด ตามสืบแก๊งคนร้ายยิงเพื่อนในทีมบาดเจ็บสาหัส และ อุ้มเด็ก 16 ขึ้นรถไปทำร้ายบาดเจ็บปางตาย เหตุแอบถอนเงินในบัญชีม้า 3 แสน จับได้แล้ว 7 ราย เบื้องต้นทั้งหมดปฏิเสธข้อกล่าวหา ยังเหลืออีก 2 ราย คาดว่าน่าจะได้ตัวในวันสองวันนี้
จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ปากเกร็ด ได้ออกหมายจับ นายกิตติพร บัวน้อย อายุ 39 ปี ตามหมายจับที่ 506/ 2565 ศาล จ.นนทบุรี ลงวันที่ 17 ก.ย. 65 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “พยายามฆ่าผู้อื่น มีอาวุธปีนและเครื่องกระสุนปีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับ อนุญาต, พาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วน, ยิงปืนโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้าน หรือที่ชุมนุมชน และหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดๆ ให้ผู้อื่น ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย”
ส่วนผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ ถูกยิง 2 นัด ทราบชื่อคือ นายสุรชัย นอนพักรักษาตัวอยู่โรงพยาบาลชลประทานปากเกร็ด อาการสาหัส ต้องรออาการดีขึ้นถึงจะนำตัวมาสอบสวนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง ขณะที่ น้องฟลุ๊ค เด็กวัย 16 ปี ที่ถูกอุ้มตัวไปทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ทราบว่า ขณะนี้อาการพ้นขีดอันตรายแล้ว ออกจากห้อง ICU มาพักฟื้นในห้องผู้ป่วยธรรมดา แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถสอบปากคำได้ ต้องรอให้อาการดีขึ้นกว่านี้ก่อน
ในช่วงเช้า พลตำรวจตรี พีระพงษ์ วงศ์สมาน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 1 พลตำรวจตรี วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธร ภาค 1 เดินทางมาที่ สภ.ปากเกร็ด พร้อมทั้งประชุมความคืบหน้าของคดีดังกล่าว ใช้เวลานานกว่าสองชั่วโมงจึงเสร็จสิ้น
พล.ต.ต.พีระพงษ์ เผยว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวน ภาค 1 ร่วมด้วยตำรวจภูธรจังหวัดนนทบุรี และสืบสวน สภ.ปากเกร็ดได้บุกเข้าไปค้นบ้านของนายกิตติพร ที่ตำบลโคกขาม อ.เมือง จ.สมุทรสาคร พบเพียงรถฟอร์จูนเนอร์สีดำ ทะเบียน 5 กผ-7689 กรุงเทพมหานคร ของนายกิตติพร ที่ใช้ก่อเหตุ มีเพียงภรรยาของนายกิตติพร อยู่ในบ้าน รวมทั้งน้องสาวและน้องชายภรรยา ขณะที่ นายกิตติพร เองไหวตัวทันหลบหนีไป เจ้าหน้าที่พบเครื่องกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง จึงยึดไว้ตรวจสอบว่าจะเกี่ยวข้องกับอาวุธปืนที่ในกิตติพรใช้ยิงนายสุรชัยหรือไม่ โดยหลังก่อเหตุยิงเพื่อนในทีมจนบาดเจ็บสาหัสและอุ้มน้องโฟล์คขึ้นรถไปทำร้ายจนปางตาย นายกิตติพรได้นำรถคันดังกล่าวมาจอดทิ้งไว้ที่บ้าน ซึ่งรายละเอียดของคดีทางเจ้าหน้าที่ตำรวจอยู่ระหว่างเร่งรัดติดตามตัวแก๊งคนร้ายกลุ่มนี้ซึ่งมีทั้งหมด 9 คนและได้ออกหมายจับในเบื้องต้นแล้ว 7 คน รวมทั้งนายกิตติพรมือยิงนายสุรชัย ส่วนสาเหตุมาจากธุรกิจสีเทาที่นายฟลุ๊ค รับจ้างเปิดบัญชีม้า แล้วเบี้ยวเงินที่โอนเข้ามากว่า 300,000 บาทจนเป็นเหตุให้ถูกอุ้มไปทำร้ายจนปางตาย เลยมาก่อเหตุอุ้มนายฟลุ๊คไปทำร้ายอย่างอุกอาจและยิงพวกเดียวกันบาดเจ็บสาหัส
ล่าสุด เมื่อช่วงเย็นที่ สภ.ปากเกร็ด พล.ต.ต.พีระพงษ์ วงศ์สมาน รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 พล.ต.ต.วสันต์ เตชะอัครเกษม ผู้บังคับการศูนย์สืบสวนสอบสวน ภาค 1 พร้อมชุดสืบสวนภูธรจังหวัดนนทบุรี และ สภ.ปากเกร็ด ได้ทำการจับกุมตัว 5 คนร้าย ที่ก่อเหตุโดยจับกุมตามหมายจับ ได้ที่บ้านหลังหนึ่งในกรุงเทพฯ
พล.ต.ต.พีระพงษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า คดีนี้เราออกหมายจับไปแล้ว 7 คน คนที่ไปในที่เกิดเหตุทั้งหมด 9 คน อีก 2 คนรอขอหมายจับและไปตามเจอ 4 คนนี้อยู่ด้วยกัน ส่วนอีกรายเป็นหญิงสาวเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มาด้วยกัน กำลังขอหมายจับอยู่แต่พบตัวก่อนเลยนำตัวมาด้วย ขณะที่อีก 4 คน เราแสดงหมายจับและนำตัวมาเข้าสู่กระบวนการสอบสวน ผู้ต้องหาทั้งหมดให้การภาคเสธ ว่าเป็นคนที่อยู่ในภาพวงจรปิดจริง แต่ไม่รู้เรื่องด้วยว่าเขาไปทำอะไรกัน เขาให้ไปช่วยยกของ ไม่รู้ว่าไปทำผิดกฎหมายหรือทวงหนี้อะไร ก็เป็นสิทธิของเขาที่จะให้การ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่รวบรวมหลักฐาน ก่อนหน้านี้ ไม่รู้หรอก เราได้ยินเสียงปืนก็วิ่งหนีแล้ว ส่วนประเด็นที่เขาตัดสินใจไปทำอะไรมีหน้าที่ทำอะไร ตำรวจก็ยังไม่ปักใจเชื่อ แต่เขาให้การสอดคล้องกัน รอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบอีกที ส่วนคนยิงในภาพวงจรปิดยังหลบหนีอยู่ มีประสานมาว่าจะมอบตัวแต่ยังไม่จริงจัง เรื่องปลาต้องไปถามกรมประมงว่าผิดกฎหมายมั้ย เรื่องปลายังไม่ผิดกฎหมาย แต่ถ้านำปลาเข้ามาเพื่อฟอกเงินอันนั้นต้องพิสูจน์ทราบต่อไป
ส่วนตัวเจ้าฟลุ๊คต้องดูว่าไปทำอะไร ก็คือ การพนันออนไลน์ บัญชีม้าส่วนใหญ่เจ้าตัวจะไม่รู้ บางคนอาจจะเคยมีประสบการณ์ เช่น การซื้อมือถือ และข้อมูลหายไป แต่ก็จะถูกดำเนินคดีเช่นกัน แต่กรณีนี้บัญชีม้ารู้ จึงเกิดคดีนี้ขึ้นมา มีการไปทวงถามกัน แต่รายละเอียดเรายังสอบปากคำไม่ได้ เพราะตอนนี้ผู้เสียหายยังให้การไม่ได้ ยอดสุดท้ายที่ผ่านบัญชีมัน 300,000 กว่าบาท ต้องดูย้อนหลังตามเอกสาร มันอยู่ในระบบสเตทเมนต์ธนาคารโกหกกันไม่ได้อยู่แล้ว สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 5 คน ที่ถูกนำตัวมาสอบสวนหลังถูกจับกุมตัวตามหมายจับ ประกอบไปด้วย
1. นางสาว อนุสรณ์ ฤทธิ์ณรงค์ ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรีที่ หมายจับที่ 511/2565 ลงวันที่ 18 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของ ผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมี อาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจของผู้อื่นนั้น, ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย”
2. นายเศรษฐา จิรพลานุรักษ์ ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรีที่ หมายจับที่ 510/2565 ลงวันที่ 18 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของ ผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมี อาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจของผู้อื่นนั้น, ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย”
3. นายอนุรักษ์ เดชะ ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรีที่ หมายจับที่ 509/2565 ลงวันที่ 18 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของ ผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจของผู้อื่นนั้น, ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย”
4. นายอิทธิพล ฤทธิ์ณรงค์ ตามหมายจับศาลจังหวัดนนทบุรีที่ หมายจับที่ 508/2565 ลงวันที่ 18 กันยายน 2565 ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของ ผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือ จิตใจของผู้อื่นนั้น, ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย”
ส่วนรายที่ 5 คือ นางสาวบาจรีย์ เดชบุญ ขณะแสดงหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 4 คน พบ นางสาวบาจรีย์ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเอง หรือของ ผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้นหรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธ หรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย, ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจของผู้อื่นนั้น, ร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยผู้เยาว์นั้นไม่เต็มใจไปด้วย” และอยู่ระหว่างขอหมายศาล ขณะจับกุมตัวทั้ง 4 คน พบนางสาวบาจรีย์ ซึ่งมีชื่อรวมอยู่ในกลุ่มผู้ก่อเหตุทั้ง 9 คน จึงได้ควบคุมตัวมาทั้ง 5 คน ประกอบไปด้วย 1. นายอนุสรณ์ 2. นายเศรษฐา 3. นายอนุรักษ์ 4. นายอิทธิพล และ 5. นางสาวบาจรีย์ รวมทั้งคนที่ 6 นายสุรชัย คนเจ็บที่ถูกพวกเดียวกันยิงบาดเจ็บนอนสาหัสอยู่ใน รพ.ชลประทาน และในเวลาต่อมาได้มี นายอิทธิมนต์ อายุ 48 ปี ผู้ต้องหาคนที่ 7 ได้เข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยเบื้องต้นทั้งหมดปฏิเสธข้อกล่าวหา ทำให้คดีนี้เหลือผู้ต้องหาอีก 2 คน คือ นายกิตติพร บัวน้อย ผู้ต้องหาตามหมายจับ เลขที่ 506/65 มือยิงเพื่อนร่วมทีม กับ นายไพศาล มานะปักกวี อายุ 33 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับที่ 507/65 ทั้งสองคนยังหลบหนีอยู่ คาดว่า น่าจะได้ตัวในวันสองวันนี้