xs
xsm
sm
md
lg

ศาลฎีกาฯ ยกฟ้อง “จารุพงศ์” อดีต มท.1 รับข้อเสนอม็อบเสื้อแดง ชี้อัยการสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีต รมว.มหาดไทย
ศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมือง ยกฟ้อง “จารุพงศ์ เรืองสุวรรณ” อดีต รมว.มหาดไทย รับข้อเสนอม็อบเสื้อเเดงที่มีเนื้อหาชักชวนแบ่งแยกประเทศ ชี้ อัยการสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาดเเล้ว ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจฟ้องซ้ำ

เมื่อเวลา 13.30 น.วันนี้ (2 ก.ย.) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สนามหลวง ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำที่ 10/2564 ที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. ยื่นฟ้อง นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ กรณีที่จำเลยรักษาการในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ได้รับรายงานสถานการณ์การชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่อาคารลิปตพัลลภฮอลล์ สนามกีฬาเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา จังหวัดนครราชสีมา แต่จําเลยไม่ได้มีข้อสั่งการอย่างไร จำเลยกลับเดินทางไปกล่าวปราศรัยยอมรับข้อเสนอที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ สรุปให้ฟังเป็นเหตุให้มีกลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางเข้ามาชุมนุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และปิดล้อมสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ มีการนำป้ายผ้าไวนิลที่ปรากฏข้อความในลักษณะแบ่งแยกประเทศไปติดตามท้องที่ต่างๆ

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 116(2) (3) พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 132 ประกอบมาตรา 30 และ 192

จําเลยไม่มาศาลและศาลได้ออกหมายจับจําเลยแล้ว แต่ไม่สามารถจับได้ พิจารณาคดีโดยไม่ต้องกระทําต่อหน้าจําเลย และถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธ

สำหรับความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.ป. ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 123/1 องค์คณะผู้พิพากษาเห็นว่า ขณะเกิดเหตุจําเลยรักษาการในตำแหน่ง รมว.มหาดไทย มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534 และ พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. 2545 มาตรา 30
ทางปฏิบัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ก็ใช้อานาจเข้าไปสั่งการในเรื่องที่เกี่ยวกับการรักษาความสงบเรียบร้อย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย จึงมีอำนาจหน้าที่โดยตรงในการกำกับดูแลและสั่งการให้พนักงานฝ่ายปกครองดำเนินการให้มีผลสอดคล้องกับนโยบายหรือแนวทางที่จำเลยกำหนดในเรื่องการรักษาความสงบเรียบร้อย แต่การที่จะถือว่าจำเลยปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ที่เป็นความผิดจะต้องเป็นกรณี ที่มีหน้าที่ที่จักต้องกระทําเพื่อป้องกันผลนั้นโดยตรง ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับสภาพปัญหาและข้อเท็จจริงแต่ละกรณี ซึ่งองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า พนักงานปกครองจัดทำบันทึกรายงานสถานการณ์ข่าวการชุมนุมเสนอ จําเลยแต่ขณะนั้นยังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดบ่งชี้ว่าจะมิใช่เป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ ทั้งเป็นการนัดชุมนุมภายในอาคารเพียงชั่วคราว

นายธงชัย และ นายชยาวุธ (ไม่บอกนามสกุล) เสนอเพียงว่าให้ติดตามความเคลื่อนไหวและดูแลความสงบเรียบร้อย เมื่อระยะเวลาตั้งแต่มีการรายงานข่าวจนถึงวันชุมนุมเป็นเวลาเพียง 2 วัน ทั้งไม่ปรากฏว่า จำเลยได้รับทราบบันทึกรายงานข่าววิทยุด้วยตนเองหรือไม่ เมื่อใด

ประกอบกับ กระทรวงมหาดไทยถูกปิดล้อมตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2556 เป็นเวลาประมาณ 6 เดือน กรณีไม่แน่ว่าในช่วงเกิดเหตุจำเลยจะมีข้อมูลครบถ้วนและมีเวลาเพียงพอที่จะใช้ดุลพินิจในการพิจารณาสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างรอบคอบเพียงใด นอกจากนี้ จำเลยมีข้อสั่งการในที่ประชุมกระทรวงมหาดไทย ลงวันที 4 มิ.ย. 2556 ไว้แล้ว นายธงชัย และ นายชยาวุธ มิได้มีข้อเสนอใดเพื่อให้จำเลยมีข้อสั่งการอีก

พนักงานฝ่ายปกครองและเจ้าพนักงานตำรวจได้ดูแลสถานการณ์การชุมนุมตามหน้าที่อยู่แล้ว นายวิบูลย์ เน้นย้ำให้ทางจังหวัดรักษาความสงบเรียบร้อย ไม่ให้เกิดเหตุการณ์รุนแรง อันเป็นการสั่งการตามหน้าที่ของปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นพนักงานฝ่ายปกครองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(16) และ (17)(ก) จำเลยจึงหาต้องมีข้อสั่งการในเรื่องเดียวกันซ้ำอีก กลุ่ม นปช.ได้แสดงออกซึ่งการไม่ยอมรับการกระทําของฝ่ายที่ต่อต้านรัฐบาลแล้วก็ได้ยุติการชุมนุมเอง

ไม่มีพยานโจทก์ปากใดยืนยันว่าจําเลยควรจะต้องมีข้อสั่งการอย่างใด จึงจะถือได้ว่าเป็นการบริหารจัดการที่มีขอบเขตและกำหนดระยะเวลาเหมาะสมไม่เกินกว่ากรณีแห่งความจําเป็นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย

ส่วนข้อที่จําเลยกล่าวปราศรัยยอมรับข้อเสนอของกลุ่ม นปช. นั้น ไม่ปรากฏว่าจําเลยได้รับทราบเนื้อหาคำปราศรัยในลักษณะให้มีการแบ่งแยกประเทศของแกนนำคนอื่น ส่วนข้อเสนอข้ออื่นก็มิได้มีการกำหนดวันเวลาและสถานที่ที่จะเคลื่อนไหวให้เป็นที่แน่นอน โดยให้ผู้ชุมนุมรอการแถลงข่าวก่อน จึงมีลักษณะเป็นการเสนอวิธีการสําหรับเหตุการณ์ในอนาคตซึ่งยังไม่ทราบได้ว่าจะเกิดขึ้นจริง หรือไม่

กรณีหาใช่เป็นเหตุอันกำลังจะเกิดขึ้นจริงที่จำเลยจะต้องเร่งสั่งการ เจ้าพนักงานก็มิได้มีผู้ใดถือเอาคำปราศรัยของจำเลยมาเป็นข้อสั่งการในการปฏิบัติราชการ ประกอบกับข้อเสนอแต่ละข้อหา เรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อีกทั้งการที่จะให้จําเลยสั่งการเพื่อให้เร่งชี้แจงสร้างความเข้าใจที่ ถูกต้องแก่ประชาชนนั้นมิใช่เรื่องง่าย เนื่องจากขณะนั้นเกิดปัญหาความขัดแย้งและความแตกแยก ส่วนการชุมนุมของกลุ่มผู้ชุมนุมอีกฝ่ายหนึ่งนั้นจําเลยก็มิได้มีข้อสั่งการใดเช่นกัน กรณียังถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่อันพึงคาดหมายได้จากจำเลยในฐานะรักษาการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในภาวะเช่นนั้น ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยกระทําความผิดข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116(2) (3)

องค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมากเห็นว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งใช้บังคับในขณะเกิดเหตุ มิได้บัญญัติให้อำานาจคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในการไต่สวนข้อเท็จจริงข้อหา ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116

พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2561 โดยมาตรา 28 ประกอบมาตรา 30 เพิ่งบัญญัติให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนข้อเท็จจริงข้อหาความผิดที่เกี่ยวข้องกับความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ซึ่งคดีนี้คือข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 แต่ พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 กำหนดเงื่อนไขไว้ในมาตรา 55(2 ) ว่า ห้ามมิให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. รับหรือยกเรื่องที่มีการดำเนินการต่อผู้ถูกร้องหรือผู้ถูกกล่าวหาตามกฎหมายอื่นเสร็จสิ้นและเป็นไปโดยชอบแล้ว และไม่มีเหตุอันควรสงสัยว่าการดำเนินการนั้นไม่เที่ยงธรรม เว้นแต่มีหลักฐานปรากฏชัดแจ้งและคณะกรรมการ ป.ป.ช. เห็นว่า เป็นกรณีที่เป็นการกระทําที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรง เมื่อได้ความว่าได้มีผู้กล่าวโทษจําเลยจากการกระทําตามฟ้องโจทก์ว่าเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113, 114, 116 และ 119 และพนักงานสอบสวนมีความเห็นควรสั่งไม่ฟ้องเมื่อวันที่ 11 ส.ค. 2559

ต่อมาเมื่อวันที่ 31 ก.ค. 61 พนักงานอัยการมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องจำเลย คำสั่งของพนักงานอัยการเป็นคําสั่งไม่ฟ้องเด็ดขาด มีผลเท่ากับ ว่าได้มีการดำเนินการต่อจำเลยในการกระทําความผิดข้อหาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อันเป็นกฎหมายอื่นเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อไม่ปรากฏว่าการดำเนินการของพนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการ เป็นไปโดยไม่ชอบหรือมีกรณีต้องด้วยข้อยกเว้นของมาตรา 55(2) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 คณะกรรมการ ป.ป.ช.ย่อมไม่มีอำนาจรับหรือยกเรื่องเกี่ยวกับการกระทําของจำเลยในข้อหาความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116(2)(3) ขึ้นไต่สวนอีก โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องข้อหานี้ พิพากษายกฟ้อง
กำลังโหลดความคิดเห็น