ศาลประทับฟ้องคดี”ดร.เซปิง”ฉ้อโกงประชาชน -นำข้อมูลเท็จเข้าสู่คอมพิวเตอร์-โฆษณาเท็จ เกินจริง นัดไต่สวนมูลฟ้อง 17 ต.ค.นี้ ส่วนเเพทย์ คนรับเงินเเละโรงพยาบาลให้ยกฟ้อง
วันนี้ (30 ส.ค.) ศาลอาญานัดฟังคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้องในคดีที่ น.ส.ยุพิน แสนคำ สาวจ.ร้อยเอ็ด ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.เซปิง ไชยศาส์น หรือ ดร.เซปิง อายุ 49 ปี ประธานโครงการศัลยกรรมความงามเฟซออฟ,พร้อมพวกทีมงานผู้บริหาร เเละรพ.ศัลยกรรมตกแต่งความงามชื่อดังย่านทาวน์อินทาวน์ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 , 343 ประกอบมาตรา 83 , 90 และ 91
โจทก์ฟ้องระบุว่า เมื่อระหว่างเดือนสิงหาคม 2560- สิงหาคม 2561 พวกจำเลยได้ทำโครงการเฟซออฟ รับปรึกษาจัดหาบริการผ่าตัดศัลยกรรมฝ่าฝืนกฎหมายอาญา โดยหลอกลวงโจทก์และประชาชนทั่วไปให้หลงเชื่อไปทำศัลยกรรมเฟซออฟ และใช้ข้อความอันเป็นเท็จว่า หากมาทำเฟซออฟกับบรรดาจำเลยซึ่งเป็น รพ.ชั้นนำระดับโลก จะไม่มีแผลเป็น และเกิดการบวมช้ำน้อยหรือไม่บวมช้ำเลย
จนทำให้โจทก์หลงเชื่อ จ่ายเงินหลายแสนบาทเข้ารับการผ่าตัดดึงหน้า ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมชื่อดังดังกล่าว แต่หลังผ่าตัดโจทก์มีรอยแผลเป็นน่าเกลียด และมีอาการชา มีอาการเจ็บปวด คัน และมีปัญหาบิดเบี้ยว เพราะเส้นไหมด้านในขาดเป็นระยะ เสียงดังเหมือนเส้นไหมขาด ใบหูยาวแหลมเป็นแม่มด หน้าเสียโฉมอย่างติดตัว
การกระทำดังกล่าวข้างต้นทำให้โจทก์ต้องเสียค่าผ่าตัดไปจำนวน 368,500 บาท โจทก์จึงขอให้ศาลนัดไต่สวนมูลฟ้อง และพิพากษาลงโทษจำเลยตามกฎหมาย รวมถึงขอให้จำเลยร่วมกันคืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่โจทก์ด้วย
โดยภายหลังไต่สวนมูลฟ้อง
ศาลมีคำสั่งว่าพิเคราะห์พยานหลักฐานในชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว โจทก์อ้างตนเองและมีนายแพทย์เทพ เวชวิสิฐ เป็นพยานเบิกความประกอบเอกสารสอดคล้องกันมีใจความว่า เมื่อ ประมาณเดือนมิถุนายน พ.ศ.2571 โจทก์เข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมใบหน้าในโครงการ “เฟซออฟ กับด็อกเตอร์เซปิง ไชยสาส์น” ซึ่งเป็นโครงการของจำเลยที่ 1 โจทก์สนใจโครงการศัลยกรรมดังกล่าว และได้ติดต่อพูดคุยกับจำเลยที่ 1 ทางแอพพลิเคชั่นเมสเซนเจอร์ ในการสนทนา จำเลยที่ 1 ส่งลิงก์ คลิปวิดีโอให้โจทก์ดูและกล่าวข้อความว่า “คลิปนี้หลังทำเพียง 5วัน ซึ่งยังไม่ได้ตัดไหมเลย บวมเพียง 5-10% ส่งมาให้เห็นความประณีตในการเย็บแผล เทคนิคการทำที่ไร้รอยแผลเป็น” “เราคือที่สุดของ เมืองไทยแล้วค่ะ และเราเหนือกว่าเกาหลีค่ะ แผลหลังผ่าตัดจะซ่อนเป็นเส้นเล็กๆ เลาะตามขอบหน้าใบ หู หลังจาก 1 เดือนผ่านไป เส้นเล็กๆ แดงๆ นี้ ก็จะค่อยจางหายไป โครงการเฟซออฟ ต้องการ สนับสนุนช่วยเหลือให้ผู้คนไทยได้ทำศัลยกรรมอย่างปลอดภัยและต้องไร้รอยแผลเป็นเพราะบางคนชอบ เลือกทำราคาถูก ไม่เลือกทำกับศัลยแพทย์ที่มากประสบการณ์ ก็ต้องมีรอยแผลเป็นติดหน้าไปตลอดชีวิต ค่ะ”
จำเลยที่ 1 ลงคลิปในสื่อออนไลน์ยูทูบ มีข้อความว่า “ดึง หน้าไร้รอยแผล....” ในโครงการเฟซออฟ ตามภาพหน้าคลิปยูทูบ โจทก์ตกลงเข้ารับ การศัลยกรรมดึงหน้าโดยจำเลยที่ 1 แจ้งให้โจทก์ไปรับการผ่าตัดที่สถานพยาบาลซึ่งประกอบกิจการโดย จำเลยที่ 3- 4 เป็นผู้ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการสถานพยาบาล ภายหลังการผ่าตัด 2-3 วัน โจทก์มีหน้าบวมเกิน 10% หลังจากทำศัลยกรรมแล้ว โจทก์ มีรอยแผลเป็นที่ด้านหน้าและหลังใบหู ติ่งหูยาวผิดรูปไปจากเดิม โจทก์ไปปรึกษานายแพทย์เทพเมื่อ ประมาณเดือนมีนาคม พ.ศ.2562 แล้ว นายแพทย์เทพ ตรวจใบหน้าจากการศัลยกรรมแล้วพบว่ามีรอย แผลเป็นด้านหน้าใบหูทั้งสองข้าง จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับเงินจากโจทก์ในการเข้ารับการผ่าตัดศัลยกรรมโครงการดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้แจ้งให้โจทก์โอนเงินดังกล่าวเข้าบัญชีธนาคารจำเลยที่ 2 รวมเป็น เงินทั้งสิ้นจำนวน 368,500 บาท
จำเลยที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ขณะเกิดเหตุประกอบกิจการสถานพยาบาลจำเลยที่ 4 เป็นศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญ ขณะเกิดเหตุเป็นผู้ได้รับอนุญาต ให้ดำเนินการสถานพยาบาล ซึ่งเป็นสถานที่ที่โจทก์รับการผ่าตัดศัลยกรรมในโครงการของจำเลยที่ 1
โจทก์นำเหตุที่ ใบหน้าได้รับความเสียหายจากการผ่าตัดศัลยกรรมกับโครงการของจำเลยที่ 1ดังกล่าว ไปฟ้องจำเลยที่1-3 คดีนี้ เพื่อเรียกค่าเสียหายที่ศาลแพ่ง เป็นคดีผู้บริโภค ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2563 ให้จำเลยที่1เเละ3 คดีนี้ ร่วมกันชำระ ค่าเสียหาย และยกฟ้องจำเลยที่ 2 คดีนี้ ทนายจำเลยทั้ง4 ต่างถามค้านพยานโจทก์ทั้งสองได้ความว่า นายแพทย์เทพเคยเบิกความต่อศาลแพ่งในคดีที่ ผู้เสียหายรายหนึ่งที่เข้ารับบริการจากโครงการเฟซออฟฯ ของจำเลยที่ 1 แล้วฟ้องจำเลยที่ 1 กับพวก เป็นจำเลย
นายแพทย์เทพเบิกความว่า “แผลคีลอยด์เกิดจากธรรมชาติของเนื้อคนไข้ แผลเป็นหรือ แผลคีลอยด์ไม่ได้เกิดกับคนไข้ทุกคน”
ทนายฝ่ายจำเลยอ้างส่งพยานเอกสารอื่นๆ ได้แก่ งานวิจัยเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการหายของแผลว่าการบริโภค เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลให้แผลหายช้า แผลไม่สวย ตามคำแปลงานวิจัย ถอดจากคลิปวิดีโอที่ปรากฏข้อความว่า “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่แต่ละบุคคล”
จากข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานโจทก์และจำเลยทั้ง4 ข้างต้น เห็น ว่า ผลลัพธ์ที่โจทก์ได้จากการผ่าตัดใบหน้าไม่เป็นไปตามที่จำเลยที่ 1 ได้แจ้งโจทก์หรือโฆษณาไว้ แม้ นายแพทย์เทพจะเคยเบิกความว่า แผลคีลอยด์เกิดจากธรรมชาติของเนื้อคนไข้ซึ่งไม่ได้เกิดกับคนไข้ทุกคนก็ดีมีเอกสารงานวิจัยว่าการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ส่งผลให้แผลหายช้าแผลไม่สวย ก็ดี โจทก์ลงลายมือชื่อในหนังสือรับทราบผลลัพธ์ของการทำศัลยกรรมซึ่งมีเนื้อความ ว่า “การ ทำศัลยกรรมทุกชนิดจะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ ส่วนจะเห็นเป็นเส้นที่ชัดมากชัดน้อยหรือรอยนูนเว้านั้นขึ้นอยู่ กับเนื้อเยื่อของคนไข้ เลือกทานอาหาร ปฏิบัติตนดูแลหลังผ่าตัดตามคำแนะนำของแพทย์อย่าง เคร่งครัด”
เห็นว่า ข้อความที่ฝ่ายจำเลยนำสืบล้วนเป็นข้อความที่ตรงกันข้ามกับที่จำเลยที่ 1 โฆษณาในสื่อออนไลน์ยูทูบ ดังนั้นแม้จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าโจทก์ได้ลงลายมือชื่อในหนังสือรับทราบผลลัพธ์ ดังกล่าวแล้ว ก็มิอาจลบล้างการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่แจ้งโจทก์และโฆษณาไว้เกี่ยวกับแผลผ่าตัดได้ รอยแผลเป็นได้
ส่วนที อ้างว่า มีคำเตือนหลายครั้งในคลิปวิดีโอเห็นว่าคำว่าผลลัพธ์เป็นคำที่กว้าง โดยมิได้เจาะจงว่าหมายถึงผลลัพธ์ในกรณีใด ดังนั้น คำเตือนว่า “ผลลัพธ์ขึ้นอยู่แต่ละบุคคล” ของจำเลยที่ 1 จึงยังไม่ชัดเจนว่ามีการเตือนถึงเรื่องรอยแผลเป็น และไม่อาจลบล้าง ข้อความเชิญชวนโจทก์หรือโฆษณาไว้ได้ภาพถ่ายใบหน้าโจทก์ก่อนผ่าตัดและหลังผ่าตัดแล้ว 22วัน ก็ยังปรากฏรอยผ่าตัดข้างใบหูอยู่ คดีจึงมีมูลสำหรับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน มาตรา 341, 343 และฐานนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ตามพ
ร.บ.คอม มาตรา 14(1) และฐานโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินจริง พรบ.คุ้มครองผู้บริโภค ให้ประทับฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ไว้พิจารณา สำหรับจำเลย2-4 นั้น ในทางไต่สวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าได้พูดคุยเชิญชวนกับโจทก์หรือได้ลงโฆษณาให้ประชาชนทราบเกี่ยวกับแผลผ่าตัดจะไร้ รอยแผลเป็น แม้จำเลยที่ 2จะเป็นผู้รับโอน เงินค่าบริการจากโจทก์และลงลายมือชื่อในใบรับเงินก็ตาม และแม้จำเลยที่3-4ป็น สถานพยาบาลที่ให้บริการผ่าตัดโจทก์ ยังไม่พอฟังว่าร่วมกับจำเลยที่ 1ฉ้อโกงและฉ้อโกงประชาชน นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบ คอมพิวเตอร์ และโฆษณาด้วยข้อความที่เป็นเท็จหรือเกินจริงที่เป็นการไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค ส่วนจำเลยที่2-4 ให้ยกฟ้อง
ศาลนัดสอบคำให้การ ตรวจพยานหลักฐานและกำหนดวันนัดสืบพยานจำเลยที่ 1 วันที่ 17 ต.ค.2565 เวลา 13.30 น.