“ศาลอุทธรณ์” พิพากษาตามศาลชั้นต้น ยกฟ้อง “อ.ถวิล” อดีตอธิการบดี สจล. กับพวกอีก 2 คน และให้ยกฟ้องเพิ่มอีก 4 คน คดีทุจริตเงิน สถาบันการศึกษา สจล.- ฟอกเงิน ร่วม 300 ล้าน
วันนี้ (17 ส.ค.) ศาลอาญามีนบุรี อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีทุจริตเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) 3 สำนวน ในคคดีหมายเลขดำ อ.1992/2558, อ.6499/2558, อ.4592/2560 ที่พนักงานอัยการคดีอาญา 11 (อัยการจังหวัดมีนบุรี) เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายทรงกลด ศรีประสงค์ อายุ 47 ปี อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซีสุวินทวงศ์ จำเลยที่ 1, น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ อายุ 63 ปี ผู้อำนวยการส่วนการคลัง สจล. ที่ 2, นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ อายุ 34 ปี ที่ 3, น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ อายุ 34 ปี ที่ 4, นายสมบัติ โสประดิษฐ์ อายุ 51 ปี ที่ 5, นางระดม มัทธุจัด อายุ 62 ปี ที่ 6, นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ อายุ 39 ปี ที่ 7, นายภาดา บัวขาว อายุ 35 ปี ที่ 8, นายถวิล พึ่งมา อายุ 68 ปี อดีตอธก.สจล.ที่ 9, นายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อายุ 58 ปี อดีต ผช.อธก. ที่ 10, นายสลุต ราชบุรี อายุ 61 ปี ที่ 11, นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ที่ 12, นายสมพงษ์ สหพรอุดมการณ์ ที่ 13 และนายธวัชชัย ยิ้มเจริญ ที่ 14
ในความผิดฐาน ร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม, เป็นพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด, ร่วมกันฟอกเงิน, สนับสนุนพนักงานมีหน้าที่ซื้อทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด เบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตนหรือของผู้อื่นโดยทุจริต, สนับสนุนพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 264, 265, 266, 268, 335, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8, 11 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 7, 10 , 60
จากกรณีเมื่อระหว่างวันที่ 25 มิ.ย.- 12 พ.ย. 2555 ต่อเนื่องในปี 2557 พวกจำเลยได้ร่วมกันยักยอกทรัพย์เบียดบังทรัพย์ 689 ล้านบาทเศษ ของ สจล.ไปเป็นของตนเองหรือผู้อื่นโดยทุจริต และยังร่วมกันฟอกเงิน 303 ล้านบาทเศษด้วย ซึ่งจำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ โดย นายถวิล และกลุ่ม อาจารย์ สจล. รวม 3 คน ได้รับการประกันตัวตั้งแต่ในชั้นพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น
คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาเมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 2561 โดยพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์ของนายทรงกลด อดีต ผจก.ธ.ไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) สาขาบิ๊กซีสุวินทวงศ์ จำเลยที่ 1 และ น.ส.อำพร ผอ.ส่วนการคลัง สจล.จำเลยที่ 2 ซึ่งศาลรับฟังพยานหลักฐานอัยการโจทก์ และ สจล.โจทก์ร่วมแล้วรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันใช้ทั้งอำนาจในหน้าที่และในฐานะส่วนตัวฉ้อฉล ลักทรัพย์เงินจากบัญชี สจล.ไปเมื่อเดือนธ.ค.2557 ยอดแรกกว่า 80 ล้านบาท และยังร่วมกับนายพูนศักดิ์ จำเลยที่ 3 ฟอกเงินที่จำเลยที่ 3 ได้เปิดบัญชีรับฝากเงินไว้แล้วมีการโอนเงินยอด 55 ล้านบาท ไปเพื่อประโยชน์ของพวกตนเอง โดยให้จำคุกจำเลยรวม 11 คน ยกฟ้อง 3 คน
ซึ่งจำเลยที่ยกฟ้อง 3 คน คือ นายสมบัติ ที่ 5, นายภาดา ที่ 8, นายถวิล พึ่งมา อดีตอธก.สจล.ที่ 9
ต่อมาโจทก์ จำเลย ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อุทธรณ์จำเลยบางคนฟังขึ้นบางส่วน พิพากษา แก้ให้ยกฟ้องนายจริวัฒน์ จำเลยที่ 7, นายสรรพสิทธิ์ ที่ 10, นายสมพงษ์ที่ 13 และนายธวัชชัย จำเลยที่ 14 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ภายหลัง นายสงกานต์ อัจฉริยะทรัพย์ ทนายความของนายถวิล เปิดเผยว่า วันนี้ศาลอุทธรณ์ พิพากษาตามศาลชั้นต้น ให้ยกฟ้องนายถวิล นางสมบัติ และ นายภาดา และให้ยกฟ้องจำเลยเพิ่มอีก 4 คน คือ นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการณ์ นายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สจล.นายสมพงษ์ สหพรอุดมการณ์ และนายธวัชชัย ยิ้มเจริญ ส่วนจำเลยอื่นให้จำคุกตามศาลชั้นต้น
นายสงกานต์ กล่าวอีกว่า คดีนี้มีข้อพิรุธตั้งแต่เริ่มต้น เนื่องจากเงินของ สจล.ถูกยักยอกไปก่อนที่นายถวิลจะมาดำรงตำแหน่งอธิการบดี แต่กลับโยนความผิดให้กับนายถวิล โดยกล่าวหาว่าเป็นผู้ยักยอกคนเดียวทั้งหมด อีกทั้งการมอบอำนาจให้นักการภารโรงทำหน้าที่ในการเบิกจ่ายเงินจำนวน 150 ล้านบาท ของ สจล.ก็เป็นเรื่องที่ผิดปกติ ดังนั้น จึงเรียกร้องให้ตำรวจสอบสวนกลาง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้ามารับผิดชอบในการสอบสวนดำเนินคดีเพิ่มเติม เนื่องจากเชื่อว่ายังมีผู้ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอีกหลายคน
ส่วนคดีที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ยกฟ้องนายถวิล กรณีทุจริตเบิกเงิน สจล. กว่า 700 ล้านบาท ถือว่าคดีสิ้นสุดแล้วเนื่องจากอัยการไม่อุทธรณ์ ทั้งนี้ การเรียกร้องความเป็นธรรมให้นายถวิลอยู่ระหว่างการพิจารณาสำนวนคดีและคำเบิกความในคดีนี้
ด้าน นายภาดา เปิดเผยว่า มอบหมายให้ทนายความรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อฟ้องเอาผิดกลับผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนในการกล่าวหา เพราะที่ผ่านมาชีวิตและการทำงานได้รับผลกระทบจากการกล่าวหาว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีทุจริตนี้ ซึ่งวันนี้ผ่านมา 4 ปี 8 เดือน ถือว่าตัวเองเป็นผู้บริสุทธิ์และได้รับความเป็นธรรมจากกระบวนการยุติธรรมแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก 11 คนนั้น ประกอบด้วย “นายทรงกลด” จำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามฟ้องฐานลักทรัพย์ของนายจ้าง, ปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ปลอมและใช้ตั๋วเงินปลอม กับฟอกเงิน จำคุกรวม 193 ปี 8 เดือน คำให้การเป็นประโยชน์อยู่บ้างลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุก 145 ปี 3 เดือน โดยโทษกระทงหนักสุดที่จำคุกสูงสุดนั้นเกินกว่า 10 ปี ดังนั้น เมื่อรวมลงโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกทั้งสิ้น 50 ปี โดยให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินคืน สจล.โจทก์ร่วมที่ 1 ตามแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ รวม 80 ล้านบาท และคืนเงิน ธ.ไทยพาณิชย์ โจทก์ร่วมที่ 2 อีก 636,795,884.80 บาท
“น.ส.อำพร” อดีต ผอ.ส่วนการคลัง สจล. จำเลยที่ 2 มีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรฯ ด้วย มาตรา 4,8 รวมจำคุกทั้งสิ้น 203 ปี ลดโทษ 1 ใน 4 คงจำคุก 152 ปี 3 เดือนโดยโทษกระทงหนักสุดที่จำคุกสูงสุดนั้นเกินกว่า 10 ปี ดังนั้นเมื่อรวมลงโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกทั้งสิ้น 50 ปี โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินคืน สจล.โจทก์ร่วมที่ 1 ตามแคชเชียร์เช็ค 2 ฉบับ รวม 80 ล้านบาท และคืนเงิน ธ.ไทยพาณิชย์ โจทก์ร่วมที่ 2 อีก 608,675,884.80 บาท
ส่วน นายพูนศักดิ์ จำเลยที่ 3 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 12 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 9 ปี
น.ส.จันทร์จิรา ที่ 4 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 6 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน
นางระดม มัทธุจัด ที่ 6 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 18 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 13 ปี 6 เดือน
นายจริวัฒน์ ที่ 7 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 12 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 9 ปี
นายสรรพสิทธิ์ อดีต ผช.อธก. ที่ 10 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 33 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 24 ปี 9 เดือน ให้ร่วมจำเลยที่ 1 และที่ 2 คืนเงิน ธ.ไทยพาณิชย์ โจทก์ร่วมที่ 2 อีก 55,972,785.80 บาท
นายสลุต ที่ 11 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 12 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 9 ปี
นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด กก.บริษัทมัทธุจัด จก.ที่ 12 ที่รับโอนเงินจากการฉ้อฉลเข้าบัญชี ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 36 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 27 ปี โดยโทษกระทงหนักสุดที่จำคุกสูงสุดนั้นเกินกว่า 3 ปีแต่ไม่เกิน 10 ปีดังนั้นเมื่อรวมลงโทษทุกกระทงแล้วคงจำคุกทั้งสิ้น 20 ปี
นายสมพงษ์ ที่ 13 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 6 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน
และ นายธวัชชัย ที่ 14 ให้จำคุกฐานร่วมกันฟอกเงิน 6 ปี ลดโทษให้ 1 ใน 4 คงจำคุกทั้งสิ้น 4 ปี 6 เดือน