MGR Online - ดีเอสไอรับเรื่องจาก “ทนายรณณรงค์” ขอให้รับเป็นคดีพิเศษ ไม่เชื่อ “เสี่ยบี” บริหารร้านคนเดียว อาจมีการรับผลประโยชน์จากผู้มีสี และกลัวคดีโดนตัดตอนเหมือนซานติก้าผับ
วันนี้ (9 ส.ค.) เวลา 09.30 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ทนายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ ประธานเครือข่ายรณรงค์ทวงคืนความยุติธรรมในสังคม เดินทางยื่นหนังสือต่อ นายไตรยฤทธิ์ เตมหิวงศ์ อธิบดีดีเอสไอ เพื่อขอให้รับเป็นคดีพิเศษ กรณีไฟไหม้ผับเมาท์เทน บี อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี จนมีผู้เสียชีวิตหลายราย เนื่องจากเป็นคดีที่ร้ายแรง และคาดว่า น่าจะมีหุ้นส่วนร้านรายอื่นอีกที่ยังไม่เปิดเผยชื่อ โดยมี พ.ต.ท.วรณัน ศรีล้ำ โฆษกดีเอสไอ เป็นตัวแทนรับหนังสือร้องเรียน
ทนายรณณรงค์ เปิดเผยว่า วันนี้มายื่น 3 ประเด็น คือ 1. ตนเชื่อว่า การเปิดสถานบันเทิงต้องมีการรับผลประโยชน์จากเจ้าหน้าที่รัฐ อาจจะเป็นในส่วนของกระทรวงมหาดไทย หรือตำรวจก็ได้ และหากปล่อยตำรวจท้องที่ทำคดีกันเอง อาจไม่เจอเรื่องรับผลประโยชน์ ซึ่งจริงๆ แล้วสถานบันเทิงเปิดไม่ได้ ถ้าตำรวจท้องที่ไม่รู้เห็นเป็นใจ 2. ตนไม่เชื่อว่า นายพงษ์ศิริ ปั้นประสงค์ หรือ “เสี่ยบี” อายุ 27 ปี เจ้าของผับ จะบริหารเพียงคนเดียว แต่ต้องมีหุ้นลมซึ่งอาจเป็นคนมีสีคอยสนับสนุนเรื่องเงินช่วยดูแล จึงอยากให้ดีเอสไอช่วยตรวจสอบทำคดีให้มีความชัดเจน ต้องขยายผลเส้นทางการเงินหาผู้เกี่ยวข้อง หรือหุ้นส่วนจะได้ออกมารับผิดชอบ ไม่ใช่แค่จบเพียง “เสี่ยบี” อายุ 27 ปี แค่คนเดียว และ 3. ตนกลัวคดีโดนตัดตอนเหมือน ซานติก้า ผับ เมื่อปี 2552 ที่ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาอย่างเป็นธรรม เพราะการอ้างว่าเยียวยาผู้เสียชีวิตรายละ 5 หมื่นบาท ส่วนคนเจ็บรายละ 1 หมื่นบาท แต่จากการประเมินความเสียหาย คาดว่า ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท การจ่ายแค่เศษเงินไม่ใช่เป็นความรับผิดชอบแต่อย่างใด
“ตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ ก็ยังไม่มีการแก้ไขกฎหมายอะไรเลยเกี่ยวกับสถานบันเทิง เช่น อาคาร ทางหนีไฟ ก็อาจจะทำให้มีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต จึงไม่อยากให้เป็นการวัวหาย (ไม่) ล้อมคอกอีก เหมือนเช่น ซานติก้า ผับที่ 13 ปี รัฐไม่เคยแก้ไขอะไรเลย”
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่จะตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นกับกรณีที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นก็จะนำมาพิจารณาว่าเข้าหลักเกณฑ์จะรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ ซึ่งในคำร้องที่ยื่นมาระบุว่า อาจมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่อย่างไร