MGR Online - “สันติ” เปิดปากรับสารภาพขัดแย้งธุรกิจยาเสพติด จึงร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน วางแผนฆ่ายกครัว ยันไม่ใช่ฝีมือมาเฟียไต้หวันตามที่ให้การก่อนหน้านี้
วันนี้ (18 มิ.ย.) ที่ กองปราบปราม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดี นายสันติ หรือ หวัง ศุภอภิรดีไพลิน อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาหมายจับศาลอาญาที่ 1155/2565 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2565 ในความผิดฐาน “ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา” หลังก่อเหตุฆาตกรรม น.ส.พจนีย์ แซ่หลี่ หรือ มี่ อายุ 35 ปี และ นายประเสริฐ โนราษ อายุ 32 ปี สองสามีภรรยาชาวไทยและลูกแฝดในครรภ์ และหลบหนีมายังประเทศไทย ว่า ภายหลังเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาสอบปากคำตลอดทั้งคืน ในที่สุด นายสันติ ก็ยอมเปลี่ยนใจกลับคำให้การจากปฏิเสธเป็นรับสารภาพว่า ตนเองได้ร่วมกับเพื่อนอีก 2 คน ร่วมกันฆ่าผู้ตายเอง ไม่ใช่มาเฟียไต้หวันตามที่เคยอ้างก่อนหน้านี้ โดยตนเองเป็นผู้สั่งการวางแผนล่อลวงผู้ตายให้มาพบเพื่อลงมือสังหาร
ส่วนมูลเหตุมาจาก ก่อนหน้านี้ นายสันติ อ้างว่า ได้รับยาเสพติดจากแก๊งยาเสพติดไต้หวันกลุ่มหนึ่งมาส่งต่อให้กับผู้ตายทั้งสองคนนำไปขายต่อ แต่ผู้ตายอ้างว่าเก็บเงินไม่ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาขัดแย้งกันก่อนนำมาสู่การลงมือสังหารดังกล่าว
ต่อมา เมื่อเวลา 10.20 น.เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม นำตัว นายสันติ ออกจากห้องขังไปทำการสอบสวนเพิ่มเติม ก่อนนำตัวขออำนาจศาลอาญาฝากขังผัดแรก เป็นเวลา 12 วัน ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ โดยเบื้องต้นพนักงานสอบสวนคัดค้านการประกันตัว
ด้าน พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป.กล่าวว่า จากหลักฐานที่ได้รับมาจากตำรวจไต้หวัน พบว่าคดีนี้มีผู้ร่วมก่อเหตุอย่างน้อย 3 คน คือ นายสันติ และลูกน้องอีก 2 คน โดยนายสันติ เป็นหัวหน้าที่ว่าจ้างให้ลูกน้อง 2 คน ลงมือฆาตกรรม มีภาพวงจรปิดบันทึกเหตุการณ์ได้ค่อนข้างชัดเจน แต่ยังไม่ได้รับข้อมูลว่าผู้ที่ร่วมลงมืออีก 2 คน เป็นใคร สัญชาติใด ส่วนปมเหตุเป็นเรื่องของหนี้สินที่ไปเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด แต่ข้อมูลดังกล่าวเป็นคำกล่าวอ้างของผู้ต้องหาที่ต้องตั้งเป็นสมมติฐานไว้ ระหว่างรอการพิสูจน์ข้อเท็จจริง
พ.ต.อ.เอนก กล่าวต่อว่า ส่วนการดำเนินคดีหลังจากนี้ ตำรวจไทยและไต้หวันจะแยกกันดำเนินคดี ไม่จำเป็นต้องส่งผู้ต้องหาไปให้อีกประเทศดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยจะแบ่งปันข้อมูลทางการสืบสวน พยานหลักฐานต่างๆ เพื่อประโยชน์ต่อการดำเนินคดีในประเทศของตนเอง โดยส่วนของไทยขณะนี้ได้รับหลักฐานเป็นผลตรวจที่เกิดเหตุ, แผนที่เกิดเหตุ, ภาพเคลื่อนไหวต่างๆ, ผลตรวจ DNA และหมายจับจากอัยการของไต้หวัน ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้ ส่วนที่จะทำให้คดีนี้สมบูรณ์ ยังขาดเพียงผลการสอบปากคำพยานแวดล้อมต่างๆ ที่จะประสานความร่วมมือแลกเปลี่ยนกันต่อไป