ตร.ปส. คุมตัว “ผัว-เมีย” ฝากขัง คดีซิ่งรถกู้ภัยปลอม ขนยาบ้า 2 ล้านเม็ดเศษ เย้ยกฎหมาย พร้อมเพื่อนช่วยพาหนี ศาลพิจารณาแล้วไม่ให้ประกัน
วันนี้ (10 มิ.ย.) ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน บก.ปส.1 ได้ยื่นคำร้องฝากขังผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video Conference) นายจิรายุทธ คงดี อายุ 24 ปี, น.ส.ทิพวรรณ ชัยเสนา อายุ 21 ปี, นายชาญณรงค์ หรือ ไอซ์ พุฒเจริญ อายุ 31 ปี ผู้ต้องหาที่ 1-3 ในข้อหา ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยเป็นการกระทำเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจาย ในกลุ่มประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน และ สมคบโดยตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน เนื่องจากยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้น รอสอบพยานอีก 7 ปาก และผลพิสูจน์อื่นๆ จึงจำเป็นต้องปากขังเป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 10-21 มิ.ย.นี้
พฤติการณ์สรุปได้ว่า ผู้ต้องหาที่ 1-2 ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันมีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากภาคอีสานเข้าสู่ กทม. โดยใช้รถยนต์ตู้โตโยต้า สีขาว แต่งเป็นรถคล้ายรถพยาบาลรับส่งผู้ป่วยเป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือและภาคอีสาน ลงสู่พื้นที่ภาคกลาง วันที่ 4 มิ.ย. นายจิรายุทธ และ น.ส.ทิพวรรณ จะใช้รถยนต์ตู้คันดังกล่าวออกเดินทางไปลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสะกดรอยฯ พบรถยนต์ตู้คันดังกล่าวจอดอยู่ที่ปั๊ม ปตท.หนองผักก้าม อ.เมือง จ.เลย ในการลำเลียงยาเสพติดครั้งนี้ มี นายสมพงษ์ หรือ โจ้ สุรินทร์คำ และ นายพิทวัส หรือ ภู ไชยสลี ใช้รถยนต์กระบะยี่ห้อ อิซูซุ รุ่น D-MAX สีขาว ใช้ในการสำรวจเส้นทาง ทั้งนี้ ผู้ต้องหารับยาเสพติดบริเวณชายแดน อ.เชียงคาน จ.เลย ติดแม่น้ำโขงฝั่งลาว
เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสะกดรอยฯ จึงได้ติดตามไปเรื่อยๆ ตามเส้นทาง อ.ภูเรือ-อ.ด่านซ้าย จ.เลย-อ.หล่มสัก-เลี่ยงเมืองเพชรบูรณ์- อ.หนองไผ่-อ.บึงสามพัน-อ.วิเชียรบุรี-อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์-อ.ชัยบาดาล-อ.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี-เข้าเขต จ.สระบุรี จนทำการหยุดรถตรวจค้นบริเวณแยกห้วยบง อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.สระบุรี เมื่อรถยนต์คันดังกล่าว หยุดรถเพื่อรอสัญญาณไฟจราจร เจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อขอตรวจค้น เมื่อ นายจิรายุทธ ขับรถยนต์ตู้คันดังกล่าวทราบว่า เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงได้ขับรถหลบหนีการจับกุมไปได้ จากนั้นได้ทำการประสาน เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา สภ.ธัญบุรี สภ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพื่อทำการสกัดจับกุม แต่ปรากฏว่า รถคันดังกล่าวใช้การเปิดสัญญาณไฟวับวาบ ทำให้ประชาชนผู้ใช้ถนนเข้าใจว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นรถฉุกเฉิน จึงเปิดการจราจรเพื่ออำนวยความสะดวกให้กับรถคันดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้ติดตามไปอย่างกระชั้นชิด ระหว่างที่ นายจิรายุทธ หรือ โต้ ผู้ต้องหาที่ 1 และ ผู้ต้องหาที่ 2 ได้ขับรถยนต์ตู้หลบหนีการจับกุมนั้น ได้โทรศัพท์ติดต่อไปหานายชาญณรงค์ หรือ ไอซ์ พุฒเจริญ ผู้ต้องหาที่ 3 ให้ขับรถมาช่วยพาหลบหนีการจับกุม ผู้ต้องหา 1-2 ได้จอดรถช่วยกันขนยาบ้าของกลาง จำนวน 2,250,000 เม็ด ลงจากรถยนต์ตู้ จากนั้นจอดรถยนต์ตู้ไว้ที่บริเวณท้ายซอยฟารีดา คาร์เปท ถ.ราษฎร์อุทิศ แขวงแสนแสบ เขตมีนบุรี กรุงเทพฯ แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถยนต์ยี่ห้อฟอร์ด เรนเจอร์ สีขาว กับ นายชาญณรงค์ หรือ ไอซ์ ผู้ต้องหาที่ 3 ขับพากันหลบหนีไป ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอศาลอาญาออกหมายจับผู้ต้องหาที่ 1-3 และสามารถติดตามจับกุมได้ในที่สุด
ชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1-2 ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา
ส่วนผู้ต้องหาที่ 3 ให้การรับสารภาพ ในข้อหาช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำผิดอันมิใช่ความผิดละหุโทษโดยประการใดเพื่อมิให้ถูกจับกุม ปฏิเสธในข้อหาอื่น
สถานที่เกิดเหตุ ซอยหนองระแหง 5 (หลังวัดแป้นทอง) บริเวณใกล้จุดทิ้งขยะ แขวงสามวาตะวันตก เขตสามวา กทม. เมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 65 เวลาประมาณ 13.30 น.
การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1-2 ความผิดฐาน “ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ ประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยเป็นการกระทำเพื่อการค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือความปลอดภัยของประชาชน และสมคบโดยตกลงกัน ตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุได้สมคบกัน” อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1, 29(1), 90, 127 วรรคสอง 134, 145 วรรคแรก, วรรคสอง (1) (2), 145 วรรคสาม (2), 152 และ พ.ร.บ.ให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 3, 4, 7, 8 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ลงวันที่ 31 ก.ค. 61 ลำดับที่ 38 ประกอบประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83
การกระทำของผู้ต้องหาที่ 3 เป็นความผิดฐาน ช่วยเหลือผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพื่อให้พ้นจากการจับกุม, ช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำผิดอันมิใช่ความผิดลหุโทษโดยประการใดเพื่อมิให้ถูกจับกุม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 189
ท้ายคำร้อง พนักงานสอบสวน ระบุว่า คดีนี้มีอัตราโทษสูง พฤติการณ์และการกระทำความผิดของผู้ต้องหาทั้งสามกระทำเป็น กระบวนการ มีเครือข่ายและเป็นภัยต่อสังคม เศรษฐกิจ และความมั่นคงของชาติ หากได้รับการประกันตัวไปผู้ต้องหาทั้งสาม อาจจะกลับไปค้ายาเสพติดและมอมเมาเยาวชนของชาติให้ติดยาเสพติด และอาจหลบหนียากแก่การติดตามตัวมาดำเนินคดี พนักงานสอบสวนจึงขอคัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาทั้งสามนี้จนกว่าคดีจะถึงที่สุด
ภายหลังเสร็จสิ้นกระบวนการฝากขัง วันนี้ญาติของผู้ต้องหาทั้ง 3 คน ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราว
โดยศาลอาญา พิจารณาแล้วเห็นว่า ความผิดตามที่ถูกกล่าวหาเป็นความผิดร้ายแรง มีอัตราโทษสูง อีกทั้งยาเสพติดของกลางมีจำนวนมาก หากให้ปล่อยชั่วคราวเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง