MGR Online - กองปราบเกือบร้อยนายลุยค้น 21 จุด ล้างบางเครือข่าย “ฉุย เขาจันทร์” แจ้งข้อหา “โกสุ่น” ตัวการสำคัญช่วยเหลือพาหลบหนี
วันนี้ (24 พ.ค.) ที่ กองปราบปราม เมื่อเวลา 06.00 น. พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. สั่งการ พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. พ.ต.อ.พัฒนศักดิ์ บุบผาสุวรรณ รอง ผบก.ป. พ.ต.อ.เผด็จ งามละม่อม ผกก.1 บก.ป. พ.ต.อ.บุญลือ ผดุงถิ่น ผกก.2 บก.ป. พ.ต.อ.พงศ์ปณต ชูแก้ว ผกก.6 บก.ป. พ.ต.อ. วิจักขณ์ ตารมย์ ผกก.สสน.บก.ป. พ.ต.อ.สมโภชน์ แดงปุ่น ผกก.ฝอ.บก.ป. พ.ต.อ.วิญญู แจ่มใส ผกก.2 บก.ปทส. นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.1, 2, 6 ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ เจ้าหน้าที่ บก.ปทส. รวม 81 นาย เปิดปฏิบัติการทลายเครือข่าย “ฉุย เขาจันทร์” กระจายกำลังเข้าตรวจค้นพื้นที่เป้าหมาย 21 จุด ในพื้นที่ 5 จังหวัด ประกอบด้วย พัทลุง สงขลา กทม. ปทุมธานี และ นนทบุรี
ทั้งนี้ สำหรับปฏิบัติการดังกล่าวสืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 9 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะเจ้าหน้าที่ตํารวจ กก.6 บก.ป. นำกำลังไล่ติดตามจับกุม นายจำรัส รักจันทร์ หรือ “ฉุย เขาจันทร์” อายุ 45 ปี ผู้ต้องหาฆ่าผู้อื่นตามหมายจับของ สภ.ป่าบอน จ.พัทลุง มือปืนตามประกาศจับสำนักงานตำรวจแห่งชาติลำดับ 145 และพวกในพื้นที่ จ.พัทลุง ระหว่างนั้นกลุ่มคนร้ายเกิดขัดขืนชักอาวุธปืนยิงต่อสู้จนเกิดการยิงปะทะกันขึ้น เป็นเหตุให้ ด.ต.อนันต์ มีแสง ผบ.หมู่ กก.6 บก.ป. เสียชีวิต และมีเจ้าหน้าที่ตํารวจบาดเจ็บอีก 2 นาย ก่อนที่ต่อมาเจ้าหน้าที่จะสามารถติดตามจับกุม นายจำรัส และพวก ที่ร่วมกันก่อเหตุได้ทั้งหมด ขณะหลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ กทม.
อย่างไรก็ตาม แม้จะสามารถตามจับกุมตัว นายจำรัส และ พวก ที่ร่วมกันก่อเหตุได้จนครบแล้ว แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ ก็ยังคงดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม เพื่อขยายผลเอาผิดกับกลุ่มบุคคลที่สนับสนุน หรือให้ความช่วยเหลือ นายจํารัส พร้อมพวก ขณะหลบหนีการจับกุม และ บุคคลเป็นกลุ่มเครือข่ายยาเสพติดของนายจํารัส เพื่อกวาดล้างขบวนการดังกล่าวให้สิ้นซาก จนนำมาสู่ปฏิบัติการดังกล่าว
จุดเป้าหมายสำคัญที่เข้าทำการตรวจค้นในครั้งนี้ อยู่ที่ บริษัท เรือนเรือ เงินทอง แทร็กเตอร์ เลขที่ 99 ม.3 ต.บางกระบือ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี ประกอบกิจการอู่ซ่อมรถแบ็กโฮ และ เครื่องจักรกลขนาดใหญ่ ของ นายศิรโชต โชติตรีชัย หรือ โกสุ่น อายุ 48 ปี หนึ่งในผู้ต้องสงสัยคนสำคัญที่เชื่อว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการสนับสนุนหรือให้การช่วยเหลือนายจำรัส และพวก หลบหนีคดีมาซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ กทม. ก่อนจะถูกจับกุมตัว เจ้าหน้าที่จึงนำหมายค้นศาลอาญาที่ 380/2565 ลงวันที่ 24 พ.ค. 2565 เข้าตรวจค้นภายใน ขณะเดียวกันยังแบ่งกำลังอีกชุดเข้าตรวจค้นบ้านพักของ นายศิรโชต ตั้งอยู่ในพื้นที่ 224/4 หมู่บ้านลัดดาวิลล์ 4 ถ.บ้านกล้วย-ไทรน้อย ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ก่อนเชิญตัวมาทำการสอบปากคำอย่างละเอียดอีกครั้งยังกองบังคับการปราบปรามต่อไป
ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้เชิญตัวกลุ่มบุคคลต้องสงสัยที่เป็นคนใกล้ชิด และ กลุ่มเครือข่ายยาเสพติด จำนวน 9 คน ที่พบหลักฐานว่าให้การช่วยเหลือนายจำรัส และ พวก ขณะหลบหนีการจับกุม มาทำการแจ้งข้อกล่าวหาตามความผิด มาตรา 189 “ผู้ใดช่วยผู้อื่นซึ่งเป็นผู้กระทำความผิด หรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำความผิด อันมิใช่ความผิดลหุโทษ เพื่อไม่ให้ต้องโทษ โดยให้พำนักแก่ผู้นั้น โดยซ่อนเร้นหรือโดยช่วยผู้นั้นด้วยประการใดเพื่อไม่ให้ถูกจับกุม”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่เจ้าหน้าที่เข้าทำการตรวจค้นบ้านพักของ นายธีระศักดิ์ สกูลแพทย์ อายุ 29 ปี ตั้งอยู่ในพื้นที่ จ.สงขลา ซึ่งเป็น 1 ใน 9 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกเชิญตัวมารับทราบข้อกล่าวหานั้น ได้ตรวจพบยาบ้า จำนวน 141 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในบ้านพัก จึงยึดไว้เป็นหลักฐาน พร้อมกับแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ นายธีระศักดิ์ อีก 1 ข้อหา ตามฐานความผิดฐาน “มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย”
ขณะที่ในส่วนของการสอบปากคำ นายศิรโชต โชติตรีชัย หรือ โกสุ่น อายุ 48 ปี 1 ใน 9 ผู้ต้องสงสัยที่ถูกเชิญตัวมารับทราบข้อกล่าวหาเช่นเดียวกันนั้น เบื้องต้นจากการสอบสวน ให้การรับสารภาพว่า ได้ให้ที่พักพิงแก่นายจำรัสและพวกจริง แต่อ้างว่าทำไปเพราะไม่ทราบมาก่อนว่าเป็นผู้ต้องหาคดียิงเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียชีวิต โดยส่วนตัวนั้นไม่เคยรู้จักกับ นายจำรัส และ พวก มาก่อน รู้เพียงแต่ว่าเป็นญาติของคนรู้จักที่พามานั่งร่วมวงดื่มสุรา และ ขอพักอาศัยชั่วคราว กระทั่งวันรุ่งขึ้นถึงมาทราบเรื่อง จึงให้ทั้งหมดย้ายออกจากบ้านไป ก่อนจะไปถูกจับกุมตัวในเวลาต่อมา
นอกจากนี้ จากปฏิบัติการดังกล่าว เจ้าหน้าที่ยังได้ทำการจับกุมต้องหากระทำความผิดซึ่งหน้าจำนวน 2 ราย ประกอบด้วย นายพีระพล สุวรรณมณี อายุ 29 ปี ชาว จ.พัทลุง และ นายพุฒิพงศ์ ไชยชนะ อายุ 20 ปี ชาว จ.พัทลุง พร้อมของกลางอาวุธปืน จำนวน 2 กระบอก พร้อมเครื่องกระสุน และ ยาเสพติดอีกจำนวนหนึ่ง เบื้องต้นจึงแจ้งข้อหา “มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และ มียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง”