“ข่าวลึกปมลับ” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP และสถานีโทรทัศน์ NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันอังคารที่ 15 มีนาคม 2565 ตอน ธนาธร-ก้าวหน้า ลุยปักหมุด “กทม.-พัทยา” เน้นขายคนธรรมดา
สนามเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา เริ่มคึกคัก หลัง “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า เปิดตัวผู้สมัครหน้าใหม่ “บ็อบ-กิตติศักดิ์ นิลวัฒนโฒชัย” วัย 47 ปี แกนนำกลุ่ม “พัทยาฟิวเจอร์” พร้อมชูแคมเปญ ทวงพัทยาคืนมาเป็นของทุกคน เพื่อสู้ “พลังบ้านใหญ่” จ.ชลบุรี กับตระกูลคุณปลื้ม ที่ยึดครองพื้นที่มานาน
กลยุทธ์ชูความเป็น “คนธรรมดา” มาสู้ ชิงนายกเมืองพัทยา น่าสนใจเพราะหากย้อนดูประวัติของ “บ็อบ-กิตติศักดิ์” เคยทำงานภาคการเงินธนาคาร จากนั้นลาออกมาทำธุรกิจด้านการท่องเที่ยว ให้คำปรึกษาด้านการเงิน และเป็นประธานชมรมถ่ายภาพเมืองพัทยา
ที่ผ่านมาเจ้าตัวทำกิจกรรมจิตสาธารณะในพื้นที่พัทยามาตลอด พร้อมเคลื่อนไหวผ่านเพจเฟซบุ๊กในการติดตามผลกระทบจากการบริหารงานเมืองพัทยา รวมทั้งนำเสนอโมเดลแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาน้ำท่วมและขนส่งสาธารณะ
นอกจากนี้คณะก้าวหน้ายังส่งผู้สมัครลงชิง “สภาเมืองพัทยา” 4 เขต 24 คน ที่ก็เป็น “คนธรรมดา” เช่นเดียวกัน ประกอบอาชีพต่างๆ เช่น ครู ผู้ประกอบการ คนขับแกร็บ เป็นต้น ซึ่งเมืองพัทยา ได้งบประมาณ 2,000 ล้านบาทต่อปี หากคิดเป็น 4 ปี ตามวาระการดำรงตำแหน่งก็จะเป็นงบกว่า 8,000 ล้านบาท
“สภาเมืองพัทยา” ก็จะทำหน้าที่ “ตรวจสอบ” การใช้งบก้อนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาชาวเมืองพัทยาต้องอยู่กับ “กลุ่มการเมืองเดิม” มาถึง 20 ปี และเป็นเวลาถึง 10 ปีที่ไม่มีการเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา แต่อยู่ด้วยมาตรา 44 จะสั่งให้ใครมานั่งนายกเมืองพัทยา
คนที่ติดตามการสื่อจาก “บ็อบ-กิตติศักดิ์” จะรู้ว่าเขาได้ชี้ถึงความล้มเหลวการใช้งบเมืองพัทยากว่า 1,800 ล้านบาท กับโปรเจคต่างๆ เช่น ท่าจอดเรือยอชต์ 684 ล้านบาท ที่ทุกวันนี้เหลือแต่ตอไม่มีคนจอด รวมถึงปัญหาการขุดถนนไม่รู้จบอันนำมาสู้ผลพวงปัญหาต่างๆ ที่เจ้าตัวเกาะติดลงเพจต่อเนื่อง
ทำให้นโยบายของคณะก้าวหน้ากับเมืองพัทยา คือ “หยุดขุดถนน ฟื้นฟูการท่องเที่ยว สร้างสวัสดิการ และความโปร่งใสในการบริหาร”
มากันที่สนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ที่พรรคก้าวไกลเปิดตัว “วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ ขึ้นชิงเป็น “พ่อเมือง” คนใหม่ เมื่อปลาย เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา
หากไปเทียบกับฝั่งฝ่ายค้านด้วยกัน “ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” ผู้สมัครในนามอิสระ ที่มีเงาพรรคเพื่อไทยอยู่ ย่อมเป็นรองอยู่ในเวลานี้
ทว่าเกมนี้พรรคก้าวไกลหวัง “ปักธง” ในระยะยาวในการทำงานการเมือง ซึ่งการเสนอชื่อ “วิโรจน์” ต้องการชูคนในพรรค ชูความเป็น “คนธรรมดา” รวมทั้งเป็นการสร้าง “ไอคอนบุคคล” ให้กับพรรคด้วย
พรรคก้าวไกลเป็นกลุ่มการเมืองที่ประมาทไม่ได้ เพราะในสนาม กทม. ได้แสดงอิทธิฤทธิ์เมื่อครั้งเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่-จตุจักร ที่ “เพชร-กรุณพล เทียนสุวรรณ” ได้คะแนนมาอันดับ 2 เบียดเอาชนะพรรคกล้ามาได้
เป็นสิ่งตอกย้ำ “พลังคนรุ่นใหม่” ในพื้นที่ กทม. มีผลต่อการเลือกตั้งไม่ธรรมดา เพราะ“เพชร-กรุณพล” มาด้วยกระแสคนรุ่นใหม่ล้วนๆ ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนภูมิทัศน์สนาม กทม. ว่า “กระแส” มาก่อนสิ่งใด
นอกจากนี้พรรคก้าวไกลยังส่งผู้สมัครชิงสภากรุงเทพมหานคร หรือ ส.ก. ทั้ง 50 เขต เข้าไปทำหน้าที่ “นิติบัญญัติ” ของ กทม. ที่เปรียบเป็นการ “สร้างฐาน” ระดับเขต ในการกรุยทางสู่การเลือกตั้งใหญ่ในปีหน้าด้วย
บทบาท ส.ก. จะทำหน้าที่ตรวจสอบ “ฝ่ายบริหาร” ของ กทม. แน่นอนว่าพรรคก้าวไกลก็หวังเก้าอี้ ส.ก. เพื่อเข้าไปตรวจสอบงบกว่าหมื่นล้านบาทของ กทม. ในแต่ละปีด้วย ดังนั้นไม่ว่าผู้ว่าฯกทม. จะเป็นใคร อาจต้องเจอกับทัพ ส.ก. จากฝั่งพรรคก้าวไกล เป็นฝ่ายจับผิด
คณะก้าวหน้า นำโดย “ธนาธร” พร้อม “ปิยบุตร แสงกนกกุล” และ “ช่อ-พรรณิการ์ วานิช” ยังได้แถลงข่าวเสนอร่าง รธน. แก้ไขเพิ่มเติม หมวด 14 การปกครองส่วนท้องถิ่น ที่เตรียมยื่นพร้อมต่อประธานสภา ผ่านการเข้าชื่อในแคมเปญ “ขอคนละชื่อ ปลดล็อกท้องถิ่น” เริ่ม 1เม.ย.นี้ เพื่อเพิ่มการกระจายอำนาจ
พร้อมชู 10 ข้อเสนอ ปูทางสู่การทำประชามติยกเลิก “ราชการส่วนภูมิภาค” ในแผนระยะ 5 ปี “ผู้บริหารท้องถิ่น” ต้องมาจากการเลือกตั้งทุกกรณี ทั้งหมดนี้เพื่อจัดระเบียบทั้งเรื่องบุคลากร เรื่องงบประมาณ และแผนงานอย่างเป็นระบบ ชนิดที่ว่า “ถอนรากถอนโคน”
เหล่านี้เป็นแนวทางของ “ขั้วก้าวหน้า” ในการปักธงทำงานการเมือง ที่เก็บเล็กผสมน้อยตามกำลังที่มีไปเรื่อยๆ อย่างไม่ลดละ ลงทุกสนามเลือกตั้งท้องถิ่น ทั้งฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติท้องถิ่น
แม้ผลจะยังไม่เป็นตามเป้าในการสู้กับ “พลังบ้านใหญ่-เจ้าพ่อเจ้าแม่ภูธร” แต่ในสนามผู้ว่าฯกทม. กับ นายกเมืองพัทยา ที่เป็น “เขตปกครองพิเศษ” ด้วยบริบทพื้นที่ที่แตกต่างจากที่อื่นๆ
งานนี้ “ขั้วก้าวหน้า” มีโอกาสปักธงได้มากเช่นกัน อย่างน้อยๆขอได้เข้าไปอยู่ในสภากทม. และสภาเมืองพัทยา ก็คงนับว่าถึงเป้าหมายแล้ว