รายการ “ถอนหมุดข่าว” เผยแพร่ทางแอปพลิเคชั่น SONDHI APP และสถานีโทรทัศน์ NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม 2565 นำเสนอรายงานพิเศษ คดีแตงโม ดับแสง ผบ.ตร.ข้อหาอืด มีนอกมีใน?
นับจากวันเกิดเหตุ 24 ก.พ. จนถึงวันจบสิ้นพิธีส่งวิญญาณ “แตงโม นิดา” 13 มี.ค. รวมเวลา 18 วัน คดีที่ตำรวจเชื่อว่า เป็นคดีอุบัติเหตุคนตกเรือเสียชีวิต กลับไม่สามารถปิดสำนวนได้
แถมทางตำรวจเอง ตั้งแต่ระดับท้องที่ สภ.เมืองนนทบุรี กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ไปจนถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ แทบจะต้องเป็นฝ่ายโดนดับแสงเสียเอง เพราะยิ่งทำคดี ยิ่งเครดิตติดลบ สังคมไม่ให้ความเชื่อถือ
ส่วนหนึ่งเพราะกรรมเก่า ที่ตำรวจทำไว้แยอะกับชาวบ้าน อีกส่วนก็เป็นกรรมใหม่ จากการทำงานที่หละหลวม เปิดช่องให้ชาวบ้านรู้สึกได้ว่า ตำรวจอาจมีนอกมีใน อะไรกับบรรดาผู้ต้องสงสัย
มันเริ่มตั้งแต่วันแรก ที่ปล่อยให้กลุ่มคนทั้งห้าบนเรือ หลบไปตั้งหลัก ไปเตี๊ยมคำให้การ ไปสลายสารอะไรต่อมิอะไรที่เสพไปในเรือ พอมาพบตำรวจ ก็ไม่เหลืออะไรในร่างกายแล้ว
เรือของกลาง ที่เป็นหลักฐานตัวชี้ขาดปมปริศนาฆาตกรรมหรืออุบัติเหตุ ก็ถูกปล่อยไว้ในโรงเก็บเรือตามปกติ จนใครต่อใครก็เข้าไปดู ไปยุ่มย่ามได้
ตัว “ไฮโซปอ” เอง วันเปิดตัวพบพนักงานสอบสวน ก็ดันมีขาใหญ่ ที่มีสายสัมพันธ์แนบแน่นกับตำรวจเมืองนนท์ มายืนประกบ ราวเป็นกุนซือ หรือแบ็กอัพ
แม้จะมีผู้กล้าออกมา ยืนยันความเที่ยงตรงในการทำคดี ต่อหน้าสื่อมวลชน อย่าง พล.ต.ต.อุดร ยอมเจริญ รองผบช.ภ.1 ในฐานะโฆษก บช.ภ.1
โดยกล่าวว่า “ผมสอบได้ที่หนึ่ง ร.ร.นายร้อยตำรวจ ผมเป็นหัวหน้านายร้อยตำรวจ ผมมานั่งอยู่ตรงนี้ ผมเชื่อว่าเกียรติยศผมมีพอ ขอให้มั่นใจในการทำคดีนี้”
แต่เครดิตเท่านี้ก็ไม่พอรองรับคดีแตงโมอยู่ดี โดยเฉพาะเมื่อพลิกประวัติการรับราชการ พล.ต.ต.อุดร ก็เติบโตในสายวิชาการ การต่างประเทศมากกว่า ไม่ได้คลุกกับงานสืบสวนสอบสวนอย่างโชกโชนจริงๆ
แม้แต่เบอร์ 1 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ “บิ๊กปั๊ด” พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ก็ไม่มีภาพลักษณ์ที่กาววาวเปล่งประกายแบบทำงานเชื่อใจได้
นาทีนี้ คดีปริศนา “แตงโม นิดา” จึงเป็นหนึ่งในคดีที่เลวร้ายที่สุด ที่องค์กรตำรวจไทย เคยเผชิญมา
ช่วยไม่ได้ที่คดีแตงโม จะโดนแตกประเด็นไปมากมาย ตั้งแต่เป็นการฆาตกรรม ทะเลาะวิวาท กลั่นแกล้ง ล้างแค้น หวังเงินประกัน
โดยเฉพาะจากคนหิวแสง ที่มองเห็นโอกาส แห่เปิดตัวมาปั่นกระแสกันแบบจงใจ เพื่อเอาแสงใส่ตัวเอง ไม่ว่าจะทนายแท้ๆ หรือคนคล้ายทนาย แต่ไม่ใช่ทนาย ดารา ตลอดจนนักการเมือง หน้าแก่หน้าเด็ก
คนเหล่านี้เอาความเชื่อส่วนบุคคล มาปะติดปะต่อกับหลักฐานที่ดูแล้วน่าคิด พอนำเสนอไป ในแบบ “วิเคราะห์ไป บูลลี่ไป” สังคมโซเชียลก็เฮโลไปอยู่กับเขา แล้วหันมารุกไล่บี้เอากับตำรวจอีก สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นถี่ๆ รัวๆ ตั้งแต่วันแรกจนวันนี้
ไหนจะคนเป็นแม่ ซึ่งเริ่มต้นแบบได้ใจคน แต่กระแสตีกลับในพริบตา เมื่อดันแสดงอาการอยากได้เงินให้จบๆ ไป จาก “คุณแม่” เลยกลายเป็น” คุณแม๊” ศัพท์ฮอตฮิตติดลมบน
หรือแม้แต่ คำว่า “ให้อภัย 50%” ก็โดนคนเอามาทำเสื้อ ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
ที่สำคัญ คุณแม๊ยังหลุดปากออกมาว่า คนแนะนำให้รับเงินเยียวยาจาก “ไฮโซปอ” ก็เป็นตำรวจ ทางหนึ่งคล้ายกับว่า ไหนๆ ลูกก็จากไปไม่มีวันกลับไปแล้ว ก็ยอมรับเงินเยียวยาไปเลยดีกว่า แต่อีกทางหนึ่ง ก็อาจเป็นวิธีการที่ตำรวจ พยายามช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รับโทษสถานเบาลง
ท่ามกลางสถานการณ์ตีบตัน การออกมาเรียกร้องถึงนายกรัฐมนตรี และผบ.ตร. ของ “ทนายนกเขา” นับว่าสนใจอย่างยิ่ง ประกอบด้วย 1.ให้เปลี่ยนคณะพนักงานสอบสวน 2.ให้ดีเอสไอร่วมสอบสวน 3.ให้หน่วยงานอื่นตรวจศพซ้ำอย่างละเอียด 4.ให้อายัดพยานหลักฐานทั้งหมด เพื่อส่งมอบต่อพนักงานสอบสวนชุดใหม่ และ 5. ไม่ควรรีบสำนวนสำนวน จนกว่าจะดำเนินการตามข้อ 1-4
การเคลื่อนไหวของสังคม จะดีหรือร้ายอย่างไร แต่สิ่งหนึ่งที่ตรงกันคือ ต้องการให้ตำรวจทำคดีแตงโมอย่างถูกต้องตรงไปตรงมา เคลียร์ปัญหาข้อสงสัยของสังคมโดยเร็ว ถ้า พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ยังไม่รู้ร้อนรู้หนาวเหมือนเดิม ก็เสี่ยงกับเก้าอี้ตัวเอง ที่อาจหักเพราะคดีแตงโม