ผอ.สถาบันนิติวัชร์ ชี้ กฎหมายชะลอฟ้อง ต้องมีเพื่อแก้ไขเยียวยาให้กับสังคม-ผู้เสียหาย รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
วันนี้ (2 มี.ค.) ม.ล.ศุภกิตต์ จรูญโรจน์ เลขาธิการสถาบันนิติวัชร์ สำนักงานอัยการสูงสุด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 1 มี.ค.ที่ผ่านมา ได้จัดเสวนาเรื่อง ชะลอฟ้อง เพื่ออะไร เพื่อใคร โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายวิพล กิติทัศนาสรชัย ผอ.สำนักงานวิจัยกฎหมายอาญาและพัฒนากระบวนการยุติธรรม และ ดร.สรรพัชญ รัชตะวรรณ อัยการประจำสำนักงานอัยการสูงสุด เข้าร่วมเสวนา
ผอ.สถาบันนิติวัชร์ เปิดเผยว่า การเสวนาครั้งนี้เป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยนำเนื้อหาของร่างพ.ร.บ.ชะลอการฟ้อง พ.ศ. .... มาวิเคราะห์ถึงหลักการและเหตุผล เปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศ รวมไปถึงแนวทางการดำเนินการหากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้มีผลบังคับใช้เพื่อให้ประชาชน บุคลากรที่ปฏิบัติหน้าที่ ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวข้อง และพนักงานอัยการ เกิดความรู้ความเข้าใจในหลักกฎหมายชะลอฟ้องมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การชะลอฟ้องเป็นกฎหมายที่ให้โอกาสแก่ผู้ที่สมควรได้รับโอกาส ผู้ที่พลั้งพลาดกระทำผิดกฎหมายที่ไม่ร้ายแรง โดยไม่มีมลทินติดตัว ซึ่งจะกระทบต่อการใช้ชีวิตตามปกติของบุคคลเหล่านั้น และยังเป็นกฎหมายที่เปิดโอกาสแก่ผู้เสียหาย เพื่อให้ผู้ต้องหาแก้ไข เยียวยาในการกระทำผิดของตนโดยไม่จำเป็นต้องยื่นฟ้องคดี ซึ่งเป็นการเร่งความยุติธรรมให้กับสังคมและผู้เสียหาย รวมทั้งเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการยุติธรรม
โดยการชะลอการฟ้องเป็นทางเลือกใหม่ของกระบวนการยุติธรรมกระแสใหม่ ที่คำนึงถึงผู้เสียหายมากขึ้นซึ่งจะสร้างประโยชน์แก่รัฐในการลดต้นทุนทางคดี อย่างไรก็ตาม คดีที่จะเข้าสู่กระบวนการชะลอฟ้องได้จะต้องเป็นคดีที่มีโทษปรับสถานเดียว กับคดีที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกินห้าปี หรือคดีที่ได้กระทำโดยประมาท คำสั่งชะลอฟ้องของอัยการมีลักษณะคล้ายกับเหตุที่ศาลจะรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา
โดยคำสั่งชะลอฟ้องคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งคดี การบรรเทาผลร้ายรวมทั้งความยินยอมของผู้เสียหาย พนักงานอัยการจะกำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาคุมประพฤติ ซึ่งเมื่อผู้ต้องหาปฏิบัติตามเงื่อนไขและระยะเวลาครบถ้วนแล้ว พนักงานอัยการก็จะสั่งยุติการดำเนินคดีและสิทธิในการดำเนินคดีอาญาก็เป็นอันระงับ
