MGR Online - กลุ่มผู้เสียหายร้องดีเอสไอ เอาผิดเจ้าของแฟรนไชส์ร้านสะดวกซัก ฐานฉ้อโกง หลอกร่วมลงทุน ก่อนปิดกิจการกะทันหัน อ้างพิษโควิด เสียหายกว่า 100 ล้าน
วันนี้ (8 ก.พ.) เวลา 10.00 น. ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กลุ่มผู้เสียหายจากการซื้อแฟรนไชน์และผู้ถือหุ้นบริษัทแฟรนไชน์ร้านสะดวกซักชื่อดัง รวมตัวยื่นหนังสือต่อ พ.ต.ท.เสกสรร ศรีตุลากร รอง ผอ.กองปฏิบัติการคดีพิเศษภาค และ พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองบริหารคดีพิเศษ ในฐานะรองโฆษกดีเอสไอ ร้องทุกข์กรณี ซีอีโอบริษัท ฉ้อโกงแฟรนไชน์และผู้ถือหุ้นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท
ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย เปิดเผยว่า บริษัทร้านสะดวกซักดังกล่าว ได้เปิดกิจการมาเป็นเวลา 4 ปี มีการเสนอหลายแพกเกจ จนมีผู้สนใจร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อช่วงประมาณเดือน มี.ค. 64 บริษัทดังกล่าวเริ่มมีความผิดปกติสภาพคล่องทางการเงินอ้างปัญหาโควิด-19 แต่ยังเปิดรับผู้ร่วมลงทุนแฟรนไชส์มาตลอด จึงเกิดปัญหาการวางระบบไม่ถูกติดตั้งตามกำหนดในสัญญา อีกทั้งบริษัทยังมีการเรียกเก็บเงินค่าแพกเกจแฟรนไชส์รายเดือนอยู่ตลอด และเก็บเงินงวดสุดท้ายเมื่อช่วงเดือน ธ.ค. 64 ก่อนจะประกาศปิดกิจการกะทันหันในเดือน ม.ค. 65 ที่ผ่านมา โดยอ้างว่าเพราะสถานการณ์โควิดระบาด พร้อมทั้งยกให้บริษัทในเครือข่ายเข้ามาดูแลแทน
ตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย เผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า บริษัทดังกล่าวมีความผิดปกติหลายอย่าง เช่น ผู้ถือหุ้นบริหารมีการลาออกจากบริษัท และไปเปิดบริษัทใหม่ในลักษณะธุรกิจเดียวกัน รวมถึงยังปกปิดรายชื่อผู้ถือหุ้นร่วมและรายละเอียดทางการเงินอีกด้วย ซึ่งการกระทำดังกล่าว เชื่อว่า เข้าข่ายการฉ้อโกงประชาชน เพราะขณะนี้ไม่สามารถติดต่อผู้บริหารบริษัทได้เลยและไม่มีการติดต่อคืนเงิน หรือชดใช้ค่าเสียหายแต่อย่างใด
“สำหรับผู้ซื้อแฟรนไชน์หลายรายจ่ายเงินทำร้าน แต่ไม่ได้ร้าน บางส่วนไม่ได้ส่วนแบ่งรายได้ตามที่ตกลงกันไว้ โดย ซีอีโอบริษัทมีพฤติกรรมบางอย่างที่สื่อไปในทางฉ้อโกงบริษัท จึงทำให้มีผู้ถือหุ้นบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว เบื้องต้นมีผู้ได้รับความเสียหายหลักร้อยคน มูลค่าตั้งแต่ 5 แสนบาท จนไปถึง 2 ล้านบาท”
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน เปิดเผยว่า เบื้องต้นจะทำการตรวจสอบว่าสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ เพราะเชื่อว่า น่าจะไม่เป็นการฉ้อโกง แต่น่าจะเป็นสภาพทางการเงินบกพร่องของบริษัทดังกล่าว ทำให้ต้องปิดกิจการ ทั้งนี้ ต้องรอตรวจสอบรายละเอียดและเอกสารอีกครั้งว่า มีการกระทำความผิดจริงหรือไม่