MGR Online - หนุมานกองปราบ ปิดห้างล้อมจับ 2 ผัวเมียผู้ต้องหาคดีฉ้อโกง 30 ล้าน หลังชักปืนขู่ไม่ยอมให้จับ เหตุไม่พอใจถูกปฏิเสธเงินสินบนแลกปล่อยตัว
วันนี้ (30 ธ.ค.) ที่ กองปราบปราม พล.ต.ต.มนตรี เทศขัน ผบก.ป. สั่งการ พ.ต.อ.ปทักข์ ขวัญนา ผกก.4 บก.ป. พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการ กก.4 บก.ป. และ เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบ นำกำลังเข้าปิดล้อมจับกุม น.ส.พิมพ์นารา หินกล้า อายุ 28 ปี ตามหมายจับศาลจังหวัดธัญบุรี ที่ 592/2564 ลง 27 ก.ย. 64 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชนและนําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ” หมายศาลจังหวัดกันทรลักษ์ ที่ 116/2564 ลง 28 ธ.ค. 64 ข้อหา “ฉ้อโกงประชาชน และ นำเข้าข้อมูลสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จฯ” และหมายจับศาลจังหวัดระนอง ที่ จ.119/2564 ลง 18 ต.ค. 64 ข้อหา “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน” และ นายอัมรินทร์ คชวัตร อายุ 32 ปี พร้อมของกลางอาวุธปืนพกสั้น 1 กระบอก และกระสุนอีก 24 นัด รถยนต์โตโยต้า รุ่นวีออส ติดแผ่นป้ายทะเบียนปลอม 1 คัน ได้ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.ไทรน้อย จ.นนทบุรี
ทั้งนี้ ตำรวจกองปราบปราม ได้รับการร้องเรียนผู้เสียหายกลุ่มหนึ่งว่า ถูก น.ส.พิมพ์นารา หลอกให้นำเงินมาร่วมลงทุนธุรกิจนำเข้าเสื้อผ้าจากจีนมาขายในไทยแบบเหมาตู้คอนเทนเนอร์ โดยมีการโพสต์หน้าร้าน, รูปสินค้าให้ดูน่าเชื่อถือ ซึ่งหลังลงทุนช่วงแรกมีการจ่ายเงินผลตอบแทนจริง กระทั่งเมื่อมีเหยื่อหลงเชื่อลงทุนเพิ่มขึ้นกลับออกลายบ่ายเบี่ยงก่อนจะเชิดเงินลงทุนทั้งหมดหนีหายไป จนมาทราบความจริงว่าที่ผ่านมาไม่ได้มีการนำเงินไปลงทุนทำธุรกิจตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ทั้งหมดเป็นการกุเรื่องขึ้นมาเพื่อหลอกเอาเงินจากกลุ่มผู้เสียหาย มูลค่าความเสียหายรวมกว่า 30 ล้านบาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงพร้อมตรวจเช็คประวัติของ น.ส.พิมพ์นารา กระทั่งพบว่า มีหมายจับในคดีลักษณะเดียวกันติดตัว 2 คดี และมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีฉ้อโกงอีกนับ 10 คดี โดยเฉพาะคดีแอบอ้างชื่อบริษัทหน้ากากอนามัยรายหนึ่ง เพื่อฉ้อโกงผู้คนให้นำเงินมาลงทุนสั่งซื้อหน้ากากอนามัยผ่านตนเอง อ้างว่า ราคาถูกกว่าท้องตลาด ก่อนจะเชิดเงินหนีหาย ซึ่งเคยมีการเข้าแจ้งความไว้ที่ บก.ปคบ. ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบข้อเท็จจริง
หลังทราบเรื่องเจ้าหน้าที่ได้แกะรอยสืบหาเบาะแสแหล่งที่กบดานของ น.ส.พิมพ์นารา เนื่องจากมีพฤติกรรมเป็นภัยต่อสังคม กระทั่งทราบว่า เมื่อช่วงเที่ยงที่ผ่านมา น.ส.พิมพ์นารา พร้อม นายอัมรินทร์ แฟนหนุ่ม ได้มานั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งย่านไทรน้อย จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบ แต่เมื่อไปถึงระหว่างที่เจ้าหน้าที่กำลังแจ้งหมายจับให้กับ น.ส.พิมพ์นารา ได้รับทราบพร้อมกับเตรียมควบคุมตัวตามขั้นตอนกฎหมาย นายอัมรินทร์ แฟนหนุ่มกลับพยายามยื่นข้อเสนอให้เงินเจ้าหน้าที่จำนวน 30,000 บาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัว อ้างว่า ภรรยาเพิ่งจะคลอดลูก ก่อนจะถูกทางเจ้าหน้าที่ปฏิเสธพร้อมกับแนะนำให้เก็บเงินไว้ใช้ประกันตัวสู้คดีจึงทำให้ นายอัมรินทร์ ไม่พอใจก่อนจะทำท่าทางล้วงหยิบสิ่งของบางอย่างในกระเป๋าด้วยท่าทีมีพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงพยายามขอตรวจค้นสิ่งของในกระเป๋าเพื่อความปลอดภัย แต่ก็ถูกนายอัมรินทร์ ขัดขืนจนเกิดการยื้อแย่งกันก่อนจะพบว่าสิ่งของที่ นายอัมรินทร์ พยายามหยิบออกมานั้นเป็นอาวุธปืน เจ้าหน้าที่จึงถอยฉากออกมาเพื่อความปลอดภัย ส่วนตัว นายอัมรินทร์ และ น.ส.พิมพ์นารา ภรรยา เองก็อาศัยจังหวะช่วงชุลมุนวิ่งหลบหนีขึ้นรถแล้วรีบขับออกไปในทันที
หลังเกิดเหตุทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงประสานขอกำลังเจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษหนุมานกองปราบร่วมสนับสนุน พร้อมกับขับรถไล่ติดตามผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ไปจนถึงบริเวณห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งตั้งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุไม่มากนัก ก่อนพบตัวนายอัมรินทร์ ยืนอยู่เพียงลำพังที่บริเวณลานจอดรถ จึงปิดล้อมจับกุมตัวได้โดยละม่อม ซึ่งจากการตรวจค้นภายในตัวไม่พบอาวุธปืนกระบอกดังกล่าว พบเพียงแม็กกาซีนสำรอง 1 อัน ก่อนให้การว่า น.ส.พิมพ์นารา ภรรยา ได้ขึ้นรถของแม่ขับหลบหนีต่อมุ่งหน้าไปทาง จ.สุพรรณบุรี เจ้าหน้าที่จึงแบ่งกำลังไล่ติดตาม กระทั่งเมื่อตามไปพบตัวแม่ของผู้ต้องหากลับไม่พบตัว น.ส.พิมพ์นารา แต่อย่างใด เมื่อทำการสอบถามแม่ของผู้ต้องหาอย่างละเอียด จึงทราบว่า มีการวางแผนให้แม่ขับรถมารับ น.ส.พิมพ์นารา เพื่อให้ช่วยพาหลบหนีจริง แต่ยังไม่ทันได้เจอตัว เจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนแผนกระจายกำลังเข้าตรวจค้นภายในห้างสรรพสินค้าจุดที่พบเจอตัวนายอัมรินทร์ อย่างละเอียด กระทั่งพบเจอตัว น.ส.พิมพ์นารา ที่กำลังหลบซ่อนตัวอยู่ภายในห้องน้ำในที่สุด พร้อมกับตรวจค้นพบอาวุธปืนกระบอกดังกล่าวอยู่ในกระเป๋าสะพาย จึงทำการควบคุมตัวทั้งสองมาทำการสอบปากคำ
ผู้ต้องหาทั้งสองให้การรับสารภาพ นอกจากนี้ จากการตรวจสอบ นายอัมรินทร์ พบเคยมีประวัติเกี่ยวข้องกับคดีทำร้ายร่างกายและคดียาเสพติด เบื้องต้นจึงแจ้งข้อกล่าวหา น.ส.พิมพ์นารา ตามหมายจับพร้อมนำตัวส่ง สภ.คลองห้า จ.ปทุมธานี ส่วนนายอัมรินทร์ ถูกแจ้ง 7 ข้อหาหนัก ประกอบด้วย 1. ต่อสู้ หรือขัดขวางเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลัง ประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธปืน 2. ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน ให้ปฏิบัติการอันมิชอบด้วยหน้าที่ หรือให้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย โดยมีหรือใช้อาวุธปืน 3. กระทําด้วยประการใดให้ผู้ที่ถูกคุมขังตามอํานาจของเจ้าพนักงานผู้มีอํานาจสืบสวนคดีอาญา หลุดพ้น จากการคุมขังไป โดยใช้กําลังประทุษร้ายหรือขู่เข็ญว่าจะใช้กําลังประทุษร้าย หรือโดยมีหรือใช้อาวุธปืน 4. ร่วมกันพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ โดยไม่มีเหตุอันสมควร 5. มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่ 6. ให้หรือขอให้ หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทําการ ไม่ กระทําการ หรือประวิงการกระทําอันมิชอบด้วยหน้าที่ 7. ร่วมกันใช้เอกสารราชการปลอม (แผ่นป้ายทะเบียน) ก่อนนำตัวส่ง พนักงานสอบสวน กก.4 บก.ป. ดำเนินการตามกฎหมายต่อไป