“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันพุธที่ 1 ธันวาคม 2564 ตอน ม้าเต็ง-สายแข็ง คั่วเก้าอี้เลขาฯ กกต.
ปิดฉากภารกิจสุดท้ายในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว สำหรับ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา กับการจัดการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ทั่วประเทศที่ผ่านมา
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ เข้าดำรงตำแหน่งเลขาธิการกกต. ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 พ.ค.61 พ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุลาออก มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.64 เป็นต้นไป
โดยเป็นการลาออกก่อนครบวาระ เพื่อไปรับตำแหน่งใหม่เป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) แทนตำแหน่งที่ว่างลง
ทั้งที่วาระการดำรงตำแหน่งเลขาธิการ กกต.สมัยแรกของ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ยังเหลืออีกราว 1 ปีเศษ ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง เปิดช่องให้ตำแหน่งเลขาธิการ กกต.ได้ไม่เกิน 2 วาระติดต่อกัน
ขณะนี้ ประธานกกต. นายอิทธิพร บุญประคอง เซ็นแต่งตั้งนายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.อาวุโสอันดับหนึ่ง ที่ทำหน้าที่รักษาไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการสรรหาเลขาธิการ กกต.คนใหม่จะแล้วเสร็จ
สำหรับขั้นตอนการสรรหาเลขาธิการ กกต.คนใหม่ ได้ระบุไว้ ว่า “ให้คณะกรรมการออกประกาศรับสมัครบุคคล เพื่อแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งเลขาธิการ…” ขณะนี้ยังต้องรอดูว่าที่ประชุม กกต.จะมีมติและออกประกาศเมื่อใด
สำหรับคุณสมบัติของผู้ที่จะเข้ารับการสรรหาเป็นเลขาธิการ กกต.นั้น ตามมาตรา 55 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง กำหนดไว้ว่า
1.ต้องเป็นผู้มีความเป็นกลางทางการเมือง
2.ไม่เคยเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดในระยะเวลา 10 ปีก่อนได้รับแต่งต้ัง
3.มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นท่ีประจักษ์
4.มีสัญชาติไทย
5.มีอายุไม่เกิน 60 ปีในวันที่ได้รับแต่งตั้ง และมีอายุไม่เกิน 65 ปีในขณะดํารงตําแหน่งเลขาธิการ
และ 6.มีคุณวุฒิ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญอันจะเป็นประโยชน์แก่การปฏิบัติงานของสํานักงาน ตามที่คณะกรรมการกําหนด
ที้ง6ข้อเป็นคุณสมบัติอย่างกว้าง เพราะในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยังได้กำหนด “คุณสมบัติต้องห้าม” ไว้อีกหลายกรณีด้วย
เวลานี้ มีกระแสข่าวออกมาแล้วสำหรับ “แคนดิเดต” ที่สนใจและถูกทาบทามเข้ารับการสรรหาเป็นเลขาธิการ กกต.ต่อจาก พ.ต.ท.จรุงวิทย์ มีอยู่หลายคน และคนมีอำนาจก็หมายปองจะส่งเด็กของตนเองเข้ามาลงตำแหน่งนี้
กลุ่มแรกแคนดิเดตเลขาฯกกต. เป็นคนในกกต. เต็งหนึ่งคือ นายแสวง บุญมี รองเลขาธิการ กกต.ที่ครองอาวุโสอันดับหนึ่ง ที่คงไม่พลาด เข้าชิงชัยเก้าอี้เบอร์ 1 สำนักงาน กกต. ในฐานะลูกหม้อที่ทำงานที่ กกต.มามากกว่า 20 ปี โดยในการสรรหาเลขาธิการ กกต.เมื่อปี 2561 นายแสวงก็เคยสมัครมาแล้วครั้งหนึ่ง แต่ไม่ได้รับการคัดเลือก
อีกกลุ่มเป็นคนนอก บุคคลทั่วไป ที่สนใจมาทำงานเป็นกรรมการเลือกตั้ง มีข่าวว่า กลุ่มคนนอกก็มีสิทธิ์จะเข้ามายึดเก้าอี้เลขาธิการกกต. เพราะมีแรงหนุนส่ง เป็นลมใต้ปีกที่มาจากขั้วอำนาจการเมือง
ข่าวว่า มีการทาบทามนายตำรวจใหญ่ระดับ “ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ” คนหนึ่งที่ “ฝ่ายอำนาจ” ต้องการดึงตัวให้มาคุม กกต. เพื่อดูแลการเลือกตั้งใหญ่ที่จะมีขึ้นอีกไม่นาน
แต่รายแรกนี้ เจ้าตัวเพิ่งขึ้นมานั่งเก้าอี้ผู้ช่วยผบ. ตร. และยังไม่อยากจะจากอาณาจักรโล่ห์เงิน ด้วยมีความหวังเล็กๆในการขึ้นชั้นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในช่วงอายุราชการที่เหลือ อยู่ถึงปี 2568
รายแรกผ่านไปไม่โอเค ไปต่อที่คนสีกากี เป็นผู้ช่วยผบ.ตร.อีกราย รายที่สองนี้ ข่าวว่า มีความใกล้ชิดกับขั้วอำนาจในระดับเด็กในบ้านมาก่อน มีสเปกถูกต้องตรงครบถ้วนตามผู้ใหญ่ต้องการ คือเป็นนักเรียนเตรียมทหาร เป็นนรต. มียศใหญ่ คนนี้น่าจะถูกส่งเข้าประกวดสรรหาเลขาธิการกกต. ค่อนข้างแน่
และรายสุดท้าย เป็นพลเรือน ไม่มียศเป็นคนมีสี แต่มีดีที่เป็นนักบริหารองค์กรระดับบิ๊ก คือ รองศาสตราจารย์ เกษมศานต์ โชติชาครพันธุ์ ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 1 ก.ย.64 ที่ผ่านมานี่เอง
ก่อนหน้านี้ แม้พื้นเพ “เกษมศานต์” จะเป็นนักวิชาการ โดยเป็น รองศาสตราจารย์ ประจำคณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) แต่ก็มีคอนเนคชันกับฝ่ายการเมือง-ฝ่ายอำนาจ ในระดับที่ไม่ธรรมดา
โดยที่ผ่านมา ได้รับเชิญให้เป็นที่ปรึกษา-กรรมาธิการ ให้กับฝ่ายนิติบัญญัติบ่อยครั้ง โดยเฉพาะในยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ถูกดึงตัวมาช่วยงาน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) มาถึงวุฒิสภาชุดปัจจุบัน
จนกลายเป็นตัวเลือกต้นๆของ “ฝ่ายอำนาจ” ที่ต้องการมือทำงานมาคุมเกมเลือกตั้งในอนาคต แม้จะเพิ่งเข้าวินที่องค์กรใหญ่อย่าง อสมท ก็ตาม
ส่งให้ชื่อ “เกษมศานต์” กลายมาเป็น “ม้าเต็ง-สายแข็ง” ที่มาแรงอีกคน จนอาจเข้าป้ายเก้าอี้เลขาธิการ กกต.ได้เหมือนกัน ถ้าสเปกเปลี่ยน…ไม่เอาคนมียศ