เผย “เสี่ยโจ้” ยังมีหมายจับให้มารับโทษของศาลจังหวัดปัตตานี คดีปลอมแปลงเอกสารดวงตราประทับไม้ จำคุก 1 ปี 9 เดือน
วันนี้ (11 พ.ย.) มีรายงานข่าวจากศาลยุติธรรม แจ้งว่า กรณีที่ นายสหชัย เจียรเสริมสิน อายุ 53 ปี หรือ เสี่ยโจ้ ปัตตานี ผู้ต้องหาคดีฟอกเงินค้าน้ำมันเถื่อน ที่ถูกจับกุมได้ที่ย่านห้วยขวาง ระหว่างหลบหนีคดี และนำตัวส่งพนักงานอัยการจังหวัดสงขลา เพื่อฟ้องคดีตามหมายจับศาลจังหวัดสงขลา ที่ 60/2564 ลงวันที่ 19 ก.พ. 2564 เเต่พนักงานอัยการ มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีโดยได้ปล่อยตัวผู้ต้องหา ไป แต่อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่า นายสหชัย หรือ เสี่ยโจ้ ยังมีคดีที่ศาลจังหวัดปัตตานีพิพากษาจำคุก 1 ปี 9 เดือน ในข้อหาปลอมเเปลงเอกสารใช้ดวงตราประทับไม้ปลอมซึ่งศาลออกหมายจำคุกถึงที่สุดและให้ออกหมายจับ นายสหชัยเพื่อมารับโทษตามคำพิพากษา ต่อมาล่าสุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลางได้ออกเอกสารข่าวชี้เเจงสำหรับเหตุที่ไม่ได้ส่งตัว นายสหชัย หรือ เสี่ยโจ้ ไปยังศาลจังหวัดปัตตานีนั้น เนื่องจากตำรวจได้ตรวจสอบในสารบบแล้ว พบว่า นายสหชัย หรือ เสี่ยโจ้ มีหมายจับของศาลจังหวัดสงขลาเพียงแค่หมายจับเดียว ไม่พบมีหมายจับของศาลจังหวัดปัตตานี
เกี่ยวกับเรื่องนี้ รายงานข่าวจากศาลยุติธรรม แจ้งว่า คดีดังกล่าวศาลจังหวัดปัตตานีได้ออกหมายจำคุกนายสหชัย หรือ เสี่ยโจ้ 1 ปี 9 เดือน เเละให้ออกหมายจับปรับนายประกัน ตั้งแต่ช่วงปี 2557 แล้ว ซึ่งต่อมามีการยื่นอุทธรณ์คดี (ไม่มีตัวจำเลยกฎหมายเก่าสามารถทำได้) เเละศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำคุก1 ปี 9 เดือน จึงมีการออกหมายจับเพื่อให้นำตัว นายสหชัย จำเลยมารับโทษตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในปี 2558 โดยหมายจับดังกล่าวนั้น ศาลจังหวัดปัตตานีได้ส่งไปยัง สภ.อ.ในพื้นที่เกิดเหตุและผู้บังคับการกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีในขณะนั้นเเล้ว
ส่วนกรณีที่ทางเข้าหน้าที่ตำรวจส่งหนังสือคัดหมายจับมาที่ศาลปัตตานีจากการตรวจสอบ พบว่า เป็นวันที่ 5 พ.ย. 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่มีการย้ายอาคารทำการจึงทำการค้นหาเเละเจอหมายจับในวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา เเละส่งหมายจับให้ตำรวจในวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันทำการ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เท่ากับว่า กรณีดังกล่าวหมายจับเพื่อบังคับตามคำพิพากษาตัวจริงของนายสหชัย ถูกส่งไปยัง สภ.อ.ในพื้นที่ปัตตานี เเละกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดปัตตานีตั้งแต่ปี 2557 เเละ 2558 ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลจังหวัดปัตตานี (ศาลชั้นต้น) เเละศาลอุทธรณ์พิพากษายืนเเล้ว