MGR Online - ตร.ตั้งโต๊ะแถลงชี้แจงกรณี“จาง หยาง” ผู้ต้องหายิงตำรวจสาหัส หนีประกันบินต่างประเทศ หลังศาลเพิกถอนเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ ล่าสุดสตม.ริบเงินประกัน 1 ล้าน ส่วนกรณีคืนทรัพย์ที่ยึดไว้นับสิบล้าน เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมาย ยันไม่มีการแทรกแซงหรือช่วยเหลือผู้ต้องหาให้หลบหนี
วันนี้ (5 พ.ย.) เมื่อเวลา 19.30 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 (ผบช.ภ.2) พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ผบช.สตม.) พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. พล.ต.ต.ฐิตวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4 ร่วมกันแถลงชี้แจงข้อเท็จจริงขั้นตอนการดำเนินคดี นายจาง หยาง หรือ จั๋ง หยาง หรือ ลีโอ (MR.YANG ZHANG) ผู้ต้องหาคดียิงตำรวจได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ขณะเข้าตรวจค้นคฤหาสน์ในสนามกอล์ฟแห่งหนึ่งใน อ.บางละมุง จ.ชลบุรี ต่อมา นายจาง หยาง เดินทางออกนอกประเทศ ขณะที่ตำรวจได้คืนทรัพย์สินที่ยึดไว้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจแก่สังคม โดยใช้เวลาในการแถลงชี้แจงรายละเอียดต่างๆ นานกว่า 1 ชั่วโมง
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่า ด้วยเมื่อวันที่ 19 พ.ค. 2564 เวลาประมาณ 14.00 น. ขณะเจ้าหน้าที่ตำรวจสังกัดตำรวจภูธรภาค 2 รวม 15 นาย นำหมายค้นของ ศาลจังหวัดพัทยา เข้าทำการตรวจค้น บ้านเลขที่ 113/76 หมู่ที่ 9 ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เนื่องจากสืบสวนทราบว่าที่บ้านดังกล่าวมีกลุ่มคนจีนที่พักอาศัยอยู่ มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องการลักลอบเล่นการพนันออนไลน์ และตามวันเวลาดังกล่าวขณะเข้าทำการตรวจค้นพบ นายจาง หยาง เจ้าของบ้านใช้อาวุธปืนยิงออกมาจากห้องนอนจำนวนหลายสิบนัด เป็นเหตุให้กระสุนปืนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้นได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นได้ทำการจับกุมตัว นายจาง หยาง พร้อมด้วย ของกลาง ได้แก่ อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ มีไว้หรือได้มาจากการกระทำผิดนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี โดยกล่าวหาว่า พยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่, ต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ และ มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต หลังเกิดเหตุ พนักงานสอบสวนได้ไปทำการตรวจสถานที่เกิดเหตุ และ พบว่ามีทรัพย์สินที่เชื่อว่าจะเกี่ยวเนื่องกับการกระทำผิด หรือใช้เป็นพยานหลักฐาน จึงทำการตรวจยึดเพื่อตรวจสอบ
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวต่อว่า มีประเด็นชี้แจงดังนี้ 1. มูลเหตุแห่งการตรวจยึดและการเก็บรักษา คดีนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดตรวจค้นทำการตรวจยึดเพียง อาวุธปืน และซองบรรจุกระสุนปืนนำส่งพนักงานสอบสวนเท่านั้น ส่วนสิ่งของอื่นไม่ได้ทำการตรวจยึด เมื่อพนักงานสอบสวนได้รับแจ้งเหตุและได้ไปตรวจที่เกิดเหตุ พบ ปลอกกระสุนปืน เสื้อเกราะกันกระสุน โล่กันกระสุน แก๊สน้ำตา ซึ่งเป็นทรัพย์สินที่ใช้ มีไว้ หรือได้มาจากการกระทำความผิด พนักงานสอบสวนจำเป็นต้องใช้เป็นพยานหลักฐาน ประกอบกับยังพบทรัพย์สินอื่นอีกจำนวนมาก อันได้แก่ เงินสดจำนวน 27,395,500 บาท, เช็คเงินสด 24 ล้านบาท, เครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมาก, เครื่องอิเล็กทรอนิกส์, บัตรประจำตัวประชาชนผู้ต้องหาปลอม และทรัพย์สินมีค่าอื่นๆ อันได้แก่ เครื่องประดับ, นาฬิกา, สร้อย, พระเลี่ยมทอง ซึ่งพนักงานสอบสวนพิจารณาแล้วเห็นว่าทรัพย์สินดังกล่าวน่าจะเกี่ยวเนื่อง เชื่อมโยง จึงได้ใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา มาตรา 131, 132 ตามที่กฎหมายให้อำนาจเกี่ยวกับการตรวจยึดทรัพย์สินดังกล่าว ประกอบกับทรัพย์สินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินที่มีค่าจำนวนมากหากไม่นำมาเก็บรักษาอาจเกิดการเสียหาย สูญหาย หรือถูกประทุษร้ายไป เจ้าของทรัพย์อาจจะมาฟ้องร้องสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพนักงานสอบสวนที่ไม่ดูแลทรัพย์สินของประชาชน
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวอีกว่า 2. เหตุแห่งการคืนทรัพย์สิน คดีนี้เป็นคดีประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย พนักงานสอบสวนมีหน้าที่รวบรวมพยานหลักฐานทุกชนิดเท่าที่สามารถจะทำได้ เพื่อประสงค์จะทราบข้อเท็จจริงและพฤติการณ์ต่างๆ อันเกี่ยวกับความผิดที่ถูกกล่าวหาเพื่อจะรู้ตัวผู้กระทำความผิด และพิสูจน์ให้เห็นความผิด หรือความบริสุทธิ์ของผู้ต้องหา ส่วนกรณีทรัพย์สินอื่นอันได้แก่ เงินสด เช็คเงินสด เครื่องประดับ นาฬิกา และของมีค่าอื่นๆ จากการสอบสวนฝ่ายผู้ตรวจค้น พบว่าไม่มีข้อมูลความคืบหน้าทางการสืบสวนเกี่ยวข้องกับมูลเหตุแห่งการตรวจค้น ประกอบกับคดีนี้เมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวน และตรวจพิจารณาแล้วได้สั่งการให้สอบสวนเพิ่มเติมบางประเด็น แต่ไม่มีส่วนใดที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินมีค่าดังกล่าว ทางคณะพนักงานสอบสวนได้ประชุมพิจารณา และได้ข้อสรุปเห็นว่ายังไม่รับแจ้งข้อมูลเพิ่มเติมหรือรายงานใดๆ ที่เป็นความผิดที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินที่ยึดไว้ และพนักงานสอบสวนได้เชิญเจ้าหน้าที่ชุดตรวจค้นมาพบเพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าทางการสืบสวนเกี่ยวข้องกับมูลเหตุแห่งการตรวจค้น ได้รับการยืนยันว่า ยังไม่มีความคืบหน้า ประกอบกับเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2564 ผู้ต้องหา ได้มอบอำนาจให้ทนายความมายื่นคำร้องขอทราบรายละเอียดทรัพย์สินที่ถูกตรวจยึด และขอรับทรัพย์สินที่ไม่เกี่ยวข้องกับคดีคืน คณะพนักงานสอบสวนมีความเห็นว่าเมื่อคดีได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการรับไว้เรียบร้อยแล้ว อีกทั้งพนักงานอัยการก็ไม่มีประเด็นจะสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบสวนเพิ่มเติมเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าว การที่จะเก็บทรัพย์สินต่อไปโดยอ้างเหตุจำเป็นที่จะรอผลการสืบสวนโดยไม่มีระยะเวลาที่ชัดเจน อาจเป็นการยึดหน่วงสิ่งของที่ไม่ชอบ คณะพนักงานสอบสวนจึงมีมติที่ประชุมเห็นชอบคืนสิ่งของดังกล่าวให้กับเจ้าของรับคืนไป
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวถึงเงื่อนเวลาในการสอบสวน ว่า ได้จับกุม นายจาง หยาง ผู้ต้องหา เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 64 จากนั้นได้แจ้งเลขาธิการ ปปง.ให้ดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สินตามกฎหมายฟอกเงิน วันที่ 20 พ.ค. 64 ยื่นฝากขังต่อศาลจังหวัดพัทยาไปเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 64 ได้สรุปสำนวนส่งอัยการเมื่อวันที่ 3 ส.ค. 64 ต่อมาวันที่ 20 ส.ค. 64 ที่ประชุมคณะกรรมการสอบสวนเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ตรวจยึด มีมติคืนสิ่งของให้แก่ผู้ต้องหา และวันที่ 23 ส.ค. 64 ได้คืนทรัพย์สินผู้ต้องหา โดยมีน้องชายพร้อมทนายความเป็นตัวแทนรับมอบ
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวว่า ทรัพย์สินอื่นของนายจาง หยาง ผู้ต้องหา จากการตรวจสอบยังพบว่าผู้ต้องหายังมีทรัพย์สินอื่นที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งมีมูลค่าสูงกว่าทรัพย์สินที่ได้รับคืนไปจากพนักงานสอบสวนหลายเท่า การที่ผู้ต้องหารับทรัพย์สินคืนไปจากพนักงานสอบสวน ก็ไม่น่าจะเป็นสาเหตุที่ผู้ต้องหาจะหลบหนีออกนอกราชอาณาจักร ส่วนอำนาจของพนักงานสอบสวน คดีนี้ในเบื้องต้นพนักงานสอบสวนได้ประสานสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง แจ้งพฤติการณ์และการกระทำความผิด จนต่อมาสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้เพิกถอนหนังสือเดินทาง และถูกกัก ห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักรแต่ภายหลังศาลจังหวัดพัทยาได้มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งห้ามเดินทางออกนอกราชอาณาจักร การที่ผู้ต้องหาเดินทางออกนอกราชอาณาจักร จึงเป็นสิทธิตามกฎหมาย พนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจใดๆ เข้าไปคัดค้านการเดินทาง ประกอบกับไม่มีการประสานงานจากศาลแจ้งให้พนักงานสอบสวน ดำเนินการอย่างใดกับผู้ต้องหาดังกล่าว อีกทั้งฝ่ายผู้ต้องหามีทีมทนายความ ที่ปรึกษากฎหมาย ซึ่งมีความเชี่ยวชาญทางกฎหมาย หากพนักงานสอบสวนกระทำการใดที่กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจไว้ และการกระทำนั้นไปละเมิดสิทธิผู้ต้องหา อาจถูกฟ้องร้องได้
พล.ต.ท.ธิติ กล่าวถึงกรณีบัตรประจำตัวประชาชนปลอมที่ตรวจยึดไว้ว่า จากการสอบสวนทราบว่าความผิดเกิดขึ้นในเขตอำนาจสอบสวนของ สภ.เมืองชัยภูมิ ได้ส่งข้อมูลและบัตรประจำตัวประชาชนปลอม (ของกลาง) ให้ สภ.เมืองชัยภูมิ และ แจ้งผู้อำนวยการสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ดำเนินคดีกับ นายจาง หยาง แล้ว ต่อมาได้รับแจ้งจาก สภ.เมืองชัยภูมิ เกี่ยวกับการดำเนินคดีกับ นายจาง หยาง ว่า สภ.เมืองชัยภูมิ ได้ส่งคำร้องทุกข์กล่าวโทษกรณีกล่าวหานายจาง หยาง ให้เลขาธิการ ป.ป.ช. คดีอยู่ระหว่างการดำเนินการของ ป.ป.ช.ภาค 3 ส่วนกรณีเครื่องคอมพิวเตอร์, เครื่องอิเลกทรอนิกส์ที่ตรวจยึดไว้ได้นำส่งกองพิสูจน์หลักฐานกลางเพื่อตรวจพิสูจน์และสำเนาข้อมูล อยู่ระหว่างการรวบรวมรายงานเอกสารจากผู้เชี่ยวชาญ
พล.ต.ต.อาชยน ชี้แจงถึงกรณีการเดินทางออกนอกประเทศ ว่า ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีอาญาแต่ได้รับการประกันตัวชั่วคราวโดยมีเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ แต่เนื่องจากผู้ต้องหาถูกถอนวีซ่าทาง สตม.จึงได้ควบคุมตัวไว้ ต่อมาทีมทนายได้ยื่นขอศาลขอให้เพิกถอนเงื่อนไขการห้ามเดินทางออกประเทศ และศาลได้มีคำสั่งเพิกถอน ทำให้ผู้ต้องหาสามารถเดินทางนอกประเทศได้ แต่ต้องมารายงานตัวตามกำหนดทุกๆ เดือนแต่ผู้ต้องหาไม่มารายงานตัวจึงถูกริบเงินประกันจำนวน 1 ล้านบาท หลังจากนี้หากผู้ต้องหาไม่มาฟังคำสั่งศาลก็จะมีขั้นตอนการติดตามตัวตามกฎหมายต่อไป
ด้าน พล.ต.ต.ฐิติวัฒน์ สุริยฉาย ผบก.สอท.4 กล่าวว่า ในส่วนของคดีที่เกี่ยวข้องกับการพนักออนไลน์และการตรวจสอบเส้นทางการเงินของผู้ต้องหารายนี้ยังอยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบยอมรับว่าคอมพิวเตอร์ของกลางฮาร์ดดิสก์ที่ยึดได้กว่า 30 เครื่อง ต้องใช้เวลาเพราะเป็นภาษาจีน หลักฐานต่างๆ ยังไม่เพียงพอเอาผิดฐานฟอกเงินได้แต่ตำรวจมีเบาะแสว่าผู้ต้องมีการนำเงินเข้ามาลงทุนในประเทศกว่า 700-800 ล้านบาท ซึ่งขอเวลาในการตรวจสอบก่อน
พล.ต.ท.ธิติ ยืนยันว่า การดำเนินการต่างๆ เป็นไปตามขั้นตอนไม่มีขบวนการแทรกแซงจากผู้มีอำนาจหรือตำรวจแน่นอน แต่ยอมรับว่าหลังจากนี้จะมีการทำงานร่วมกันของกระบวนการยุติธรรมให้รอบคอบรัดกุมยิ่งขึ้น ยอมรับว่าผู้ต้องหามีทีมทนายความที่เก่ง และใช้ข้อกฎหมายทุกอย่างจึงดูเหมือนคดีนี้มีการตระเตรียมการให้ดูเหมือนมีเจ้าหน้าที่ให้การช่วยเหลือ
“หลังจากนี้ สิ่งที่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะต้องดำเนินการคือการปรับปรุงระบบการทำงานให้รวดเร็วและทันต่อการที่ผู้ต้องหาจะรู้เท่าทันได้ เราไม่ต้องการให้ปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นซ้ำอีก” ผบช.ภ.2 ระบุ
ด้าน พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ กล่าวถึงการตั้งข้อสงสัยของประชาชนและสื่อมวลชนถึงเรื่องที่เกิดขึ้น ว่า สังคมไทยมีความสับสนในหลายเรื่อง เป็นสิทธิที่จะสงสัยในทุกเรื่อง ใครจะสงสัยสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะสงสัยข้าราชการตำรวจคนไหนก็ตามเป็นสิทธิของเขา แต่เรามีหน้าที่ทำภารกิจของเราให้ประชาชน เชื่อมั่น ศรัทธาและอยู่ในกรอบกฎหมาย และพร้อมจะชี้แจงทุกประเด็น จึงเป็นที่มาของการแถลงข่าวในวันนี้
"ผมคงไปห้ามใครสงสัยไม่ได้ เพราะมันเป็นเรื่องของสังคม แต่เราพร้อมหรือไม่ที่จะชี้แจงว่าเราได้ทำตามกรอบของกฎหมายและเป็นไปบนพื้นฐานความสุจริตต่างๆ อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่าใครไม่สุจริตที่จะสงสัยได้ ทั้งนี้ความสงสัยเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เราจะทำอย่างไรให้ประชาชนมีความเชื่อมั่น และศรัทธา นั่นคือ มืออาชีพ ใครจะสงสัยอย่างไรก็สามารถตรวจสอบได้ ทั้งนี้ การทำงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นไปตามกฎหมายทุกประการไม่มีหน่วยไหนมาแทรกแซงในกระบวนการยุติธรรมที่อยู่ในมือของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้"ผบช.สตม.กล่าว