รายการ “ถอนหมุดข่าว” ทาง NEWS1 โดย นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมืองและกระบวนการยุติธรรม เครือผู้จัดการ วันที่ 27 ต.ค.64 นำเสนอรายงานพิเศษ “อุ๊งอิ๊ง”เจอรับน้อง ขุดเอี่ยวข้อสอบรั่ว
สร้างความฮือฮาไปทั่ว เมื่อ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เปิดตัวเป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย
พร้อมแสดงทักษะการอภิปรายอันฉาดฉานคล่องแคล่ว ต่อหน้าสมาชิกพรรค อันแปลว่า มีการเตรียมตัวมาแล้วพอสมควร
ขณะที่ “พี่โทนี่ วู้ดซั่ม” พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศจากต่างแดนว่า การเลือกตั้งครั้งหน้า เพื่อไทยต้องชนะแบบแลนด์สไลด์เท่านั้น เพื่อจะได้เป็นรัฐบาล และมีความเป็นไปได้ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ รวมถึงคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร พร้อมจะดัน “อุ๊งอิ๊ง” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี เหมือนที่เคยทำสำเร็จแล้วกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อ 10 ปีก่อน
การมาขอ “อุ๊งอิ๊ง” พร้อมกับหัวหน้าพรรคคนใหม่ คือ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว และกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ ถือเป็นการรีแบรนดิ้งพรรคไปในตัวด้วย
เนื่องจากที่ผ่านมา เพื่อไทยมีภาพลักษณ์ของคนรุ่นเก่ากลายๆ ส่งผลให้เสียฐานเสียงคนรุ่นใหม่ไปแทบไม่เหลือ ถูกพรรคก้าวไกลช่วงชิงไปจำนวนมาก
พรรคเพื่อไทยดูเก่าขนาดไหน ดูได้จากกรณี นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ ซึ่งตอนนี้เป็นอดีตหัวหน้าพรรคไปเรียบร้อยแล้ว พูดอภิปรายในสภา เรียกชื่อนายกรัฐมนตรีผิดถึง 2 หนติด เหมือนเป็นคนแก่หลงๆ ลืมๆ
อีกทั้ง การส่งลูกสาวคนเล็กลงสู้บนสังเวียนการเมือง เข้ามาคุมพรรคเพื่อไทย เป็นความเสี่ยงของทักษิณ ที่อาจจะผลักดันอุ๊งอิ๊งเจอเหตุเภทภัยต่างๆนานา แต่ถ้าไม่เสี่ยง เป้าหมายที่วางไว้ ก็เป็นแค่วิมานที่เลื่อนลอย
ความหวังอยู่ที่อุ๊งอิ๊ง และเสียงตอบรับ “อุ๊งอิ๊ง” จะดีถึงขั้นสร้างปรากฎการณ์แลนด์สไลด์อย่างที่ผู้เป็นพ่อหมายมั่นปั้นมือหรือไม่ ยังยากที่จะตอบได้ในเวลานี้
แต่ผู้ที่แสดงปฏิกิริยาต่อต้านออกมาอย่างฉับพลัน กลับเป็น “คนกันเอง” หรือ “ลูกน้องเก่า” อย่างนายจอม เพ็ชร์ประดับ อดีตนักข่าวดัง
นายจอมวิจารณ์กรณีอุ๊งอิ๊งแบบจัดหนักว่า พรรคเพื่อไทย ควรเปลี่ยนชื่อเป็น พรรคพวกชินวัตร ไปเลย
แสดงว่า ไม่เข็ดหลาบกับการเล่นการเมืองแบบวงศาคณาญาติ แล้วจะเอาความชอบธรรมตรงไหน ไปกล่าวหาตรวจสอบ ทหารเอาพี่น้องมาโกงบ้านเมือง
“คุณทักษิณไม่เคยเปลี่ยน ยังคงใช้ประชาชนเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่ออำนาจและพวกพ้องตัวเองอยู่เหมือนเดิม” จอม เพชรประดับ ซัดพี่โทนี่ไม่ยั้ง
หาก แพทองธาร ชินวัตร ยังคงสถานะเป็นผู้บริหารธุรกิจของครอบครัวอย่าง “เอสซี แอสเสต” และเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง ดังเดิม ก็คงมีชีวิตสุขสบายยาวๆไป
แต่พอแหย่เท้าก้าวแรกสู่สนามการเมือง ก็ต้องเจอบททดสอบทางการเมืองเป็นธรรมดา โดยฝ่ายตรงข้ามเริ่มขุดประวัติเก่าๆ ออกมาเล่าใหม่กันแล้ว
อย่างกรณีข้อสอบเอ็นทรานซ์รั่ว ซึ่งเคยเป็นข่าวใหญ่เมื่อปี 2547 ช่วงที่ผู้เป็นพ่อเป็นนายกรัฐมนตรี
ร.ต.อ.วรเดช จันทรศร เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษาขณะนั้น ดันมีการเรียกข้อสอบเอ็นทรานซ์มาตรวจดูก่อนการสอบจะเริ่มขึ้น อันถือเป็นสิ่งผิดปกติที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พอ “อุ๊งอิ๊ง” จากโรงเรียนมาแตร์เดอี เอ็นท์ติดคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เลยเกิดข้อครหา ว่ามีรายการข้อสอบรั่ว
มีการวิเคราะห์เจาะลึกไปถึงคะแนนรายวิชากันเลยทีเดียว พบว่าบางวิชาที่ “อุ๊งอิ๊ง” ทำคะแนนไม่ดีมาตลอด ก็กลับมีคะแนนดีในการสอบเอ็นทรานซ์
มีการสอบสวน ร.ต.อ.วรเดช กรณีขอดูข้อสอบเอ็นท์ ผลออกมาว่า กระทำผิดวินัยจริง จนเจ้าตัวต้องลาออกเพื่อลดกระแส
แต่แล้ว ร.ต.อ.วรเดช กลับมีความดีความชอบทางการเมือง ได้รับแต่งตั้งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี
นอกจากเรื่องข้อสอบรั่ว ฝ่ายตรงข้ามยังเป็นขุดภาพเก่ามาแชร์กันรัวๆ เป็นภาพ “อุ๊งอิ๊ง” ขณะนั่งเคียงข้างพ่อ ฟังคำพิพากษาคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ แล้วแสดงอาการปากเบ้ ตาขวาง ต่อคำพิพากษา
แน่นอนว่า คุณสมบัติของ แพทองธาร ชินวัตร สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปได้ เพราะอายุครบ 35 ปี ตามเกณฑ์ที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดไว้พอดี อีกทั้งไม่มีมลทินด่างพร้อยใดๆ
แต่การขึ้นพูดครั้งแรกในฐานะนักการเมือง ที่เธอบอกว่า คุณพ่อมีความปรารถนาอย่างมาก ที่จะกลับมากราบแผ่นดินเกิด
วาระทางการเมือง จึงเป็นเรื่อง “ทักษิณอยากกลับบ้าน” ซ้ำรอยเมื่อ 10 ปีก่อน ที่มีการผลักดันน้องสาว ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มาเป็นนายกรัฐมนตรี แทบทุกประการ