“ข่าวลึกปมลับ”ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 19 ตุลาคม 2564 ตอน เสี่ยงวัดได้-เสีย เปิดประเทศ
การเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว เหลือเวลาอีกแค่สองสัปดาห์เท่านั้น ประตูเมืองจะเปิด นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศไทยโดยไม่ต้องกักตัว ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 1 พ.ย.นี้
คำประกาศเปิดประเทศดังกล่าว ของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สร้างความคึกคักให้หลายภาคส่วนโดยเฉพาะคนที่อยู่ในภาคธุรกิจอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่ได้รับผลกระทบกันหมดในยุคโควิด
การตัดสินใจเปิดประเทศ เป็นความเสี่ยงที่ไม่อาจจะหวังผลลัพธ์ที่ดีด้านเดียวได้ ต้องเผื่อใจไว้กับความล้มเหลวอย่างคาดไม่ถึงด้วย แต่การเสี่ยงครั้งนี้อยู่บนสถานการณ์โควิดเริ่มทรงตัว การดูแลรักษาคนติดเชื้อก็คุมได้มากขึ้น หากเกิดการระบาดอีกก็คงจะรับมือได้
และช่วง 2-3 เดือนต่อจากนี้ จากเดือน พ.ย. ไปจนถึงต้นปีหน้า มกราคม-กุมภาพันธ์ คือช่วงไฮซีซั่นของการท่องเที่ยวทั่วโลก โดยเฉพาะช่วงสิ้นปีกับคริสต์มาสเดย์และเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จึงเป็นนาทีทอง ที่เปิดประเทศเพื่อนำเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ มาพลิกฟื้นธุรกิจท่องเที่ยวไม่ให้ล้มตายไปมากกว่านี้
เบื้องต้น การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วางเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเดินทางมาในช่วงเปิดประเทศ สองเดือนสุดท้ายของปีนี้ คือพฤศจิกายนกับธันวาคมไว้ที่เดือนละห้าแสนคน รวมกันแล้ว ก็คือ หนึ่งล้านคนภายในสองเดือน
พุ่งเป้าไปที่ตลาดใหญ่ที่หายไปคือ นักท่องเที่ยวชาวจีน แต่ก็มีปัญหาที่ฝากความหวังที่นักท่องเที่ยวจีน อาจจะทำให้ตัวเลขไม่ถึงเป้า เพราะจนถึงสิ้นปีนี้ รัฐบาลจีน ยังคงไว้ซึ่งมาตราการปิดประเทศ ไม่ให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศโดยเฉพาะออกมาท่องเที่ยวแน่นอน และหากปีหน้า รัฐบาลจีน ยังไม่เปิดประเทศ หรือเปิดช้า ก็คงมีผลกระทบกับธุรกิจการท่องเที่ยวของไทยแน่นอน
ขณะเดียวกัน ททท.และกระทรวงการท่องเที่ยว ตอนนี้ข่าวว่า วางเป้าหมาย ไปที่ปีหน้า 2565 แล้ว กับการวางโรดแมป เพื่อดึงนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทย หากไม่เกิดระบาดใหม่รอบใหญ่ก็จะต้องมีการเปิดประเทศ ครบทุกจังหวัดทุกพื้นที่
ทางททท.และกระทรวงท่องเที่ยวฯ วางโรดแมปไว้ว่าปีหน้า ขอยอดนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าไทยแค่ครึ่งหนึ่งของปี 2562 ก็ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
ปี 2562 เท่ียวไทยบูมสุดๆ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเที่ยวสูงถึง 39.7 ล้านคน สร้างรายได้เข้าประเทศ ร่วม 1.93 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10 เปอร์เซนต์ ของจีดีพีไทย โดยคิดเป็น 61 เปอร์เซนต์ จากรายได้ท่องเที่ยวทั้งหมด 2.99 ล้านล้านบาท
ดังนั้น ครึ่งหนึ่งของปี 2562 จึงเท่ากับประมาณ 20 ล้านคน แต่รายได้ที่จะได้จากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวต่างชาติ น่าจะไม่ถึงครึ่งหนึ่งจากที่เคยได้ในปี 2562 เพราะว่านักท่องเที่ยวต่างชาติ แม้จะมีเงินออกมาเที่ยวต่างประเทศได้ แต่ก็จะระมัดระวังการใช้เงิน
ทาง ททท.ยังวางเป้าไว้ว่า ปี 2566 ประเทศไทย จะมีรายได้จากการนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่ากับปี 2562 คือ1.93 ล้านล้านบาท และตั้งเป้าไว้ว่า การท่องเที่ยวของไทย จะกลับมาพีกสุดคือปี 2567 โดยคาดไว้ว่าจะให้มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเข้ามาเท่ากับปี 2562
แต่ว่ารายได้ที่จะได้ จะต้องมากขึ้นแบบเท่าตัว เพราะจะมีการกระตุ้นให้มีการใช้เงินในการเที่ยวมากขึ้น จนทำให้ไทยได้เงินจากการท่องเที่ยวในปีดังกล่าวทะลุ 20 เปอร์เซนต์ของจีดีพี ประเด็นนี้อาจจะฝันเกินจริงไปมาก
การเปิดประเทศ 1 พ.ย. แม้จะมีมาตรการต่างๆเพื่อสกีนนักท่องเที่ยวต่างประเทศ คือต้องเป็นผู้ที่ฉีดวัคซีนครบโดส และมีหลักฐานผลการตรวจหาเชื้อโควิดด้วยวิธี RT-PCR ทั้งก่อนเดินทางออกจากประเทศต้นทาง และตรวจหาอีกครั้งเมื่อเดินทางมาถึงไทย
แต่เมื่อมีการตั้งเป้านักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาขั้นต่ำเดือนละห้าแสนคน รวมเป็นหนึ่งล้านคน ในช่วงสองเดือนต่อจากนี้ โดยที่ไทยยังคงมีผู้ติดเชื้อรายใหม่วันละเฉลี่ยหนึ่งหมื่นคนต่อวัน จึงย่อมทำให้ประชาชนบางกลุ่มอดกังวลใจไม่ได้ว่า หากเปิดประเทศแล้ว จะเกิดโควิดระบาดระลอกใหม่ตามมาในช่วงปลายปีหรือไม่
จุดนี้ เป็นเรื่องที่ ศบค.ต้องปิดช่องโหว่ทุกอย่างของการเปิดประเทศ เพื่อสร้างความมั่นใจให้ประชาชนโดยเฉพาะในจังหวัดที่เปิดรับนักท่องเที่ยวได้ว่า หลังเปิดประเทศแล้ว จะไม่เกิดการแพร่เชื้อ ติดเชื้อ ตามมา
วิธีการหนึ่งที่สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้มากก็คือ ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนโดยเฉพาะกลุ่มประชากรสูงอายุและกลุ่มที่มีโรคประจำตัวให้ได้มากที่สุด ในจังหวัดที่พื้นที่สีฟ้าที่จะเปิดประเทศ ก็จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ประชาชนได้อย่างมาก
การเปิดประเทศ 1 พ.ย. ถึงตอนนี้ ไม่ลองเสี่ยงก็ไม่รู้ และถอยหลังไม่ได้แล้ว มีแต่เดินหน้าอย่างเดียว ซึ่งการเสี่ยงก็อาจจะคุ้มค่าที่ทุ่มแทงลงไป แต่หากเปิดแล้วสถานการณ์ไม่ดี ก็ยังมีทางเลือกปิดประเทศในทันที โดยนายกรัฐมนตรีไม่ต้องกลัวเสียหน้า
ไม่ว่าจะปังหรือพังกับการเปิดประเทศ พลเอกประยุทธ์ ก็คงต้องรับผิดชอบ แต่ดูจากสถานการณ์ขณะนี้แล้ว บอกได้ว่า เปืดประเทศดีกว่าไม่เสี่ยง หากปิดประตูเมืองต่อไป เศรษฐกิจจะพังพินาศทั้งระบบ ประชาชนคงอดตายกะนแน่