“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 14 กันยายน 2564 ตอน คว่ำประยุทธ์ ล้ม 3 ป. ยุทธการ 3 ประสาน เพื่อไทย-ทักษิณ-ณัฐวุฒิ
อีกด้านหนึ่งของสถานการณ์หลังจบศึกซักฟอก โดยต้องไปดูท่าทีของ “โทนี่ วูดซัม ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งนิ่งเงียบไปอย่างเห็นได้ชัด หลังแผนล้มนายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นอันต้องพังลง
เกมแงข้างหลังทะลุถึงหัวใจครั้งนี้ พลเอก ประยุทธ์ รอดไปได้ไม่ถูกคว่ำคาสภาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจในการลงมติเมื่อวันเสาร์ที่4 กันยายน เป็นเพราะว่า ทั้ง “3ป.” ไหวตัวทัน
พร้อมกับพลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ลงดาบ “ผู้กองมนัส-ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” และ “เจ๊แหม่ม-นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” พ้นจากรัฐมนตรีชนิดที่ว่าฟ้าผ่ายังมีเค้า แต่บิ๊กตู่ปลดยบิ๊กอายส์กับผู้กองไม่มีสัญญาณเลยแม้แต่น้อย
เหตุผลการปลดทั้งสองรัฐมนตรี “บิ๊กตู่”ได้ย้ำเป็นการใช้อำนาจตาม รธน. มาตรา 171 แต่ปฏิบัติการครั้งนี้ ปิดลับมากชนิดที่มาบอกกับ“พี่ป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ทีหลัง ก่อนราชกิจจานุเบกษาจะประกาศไม่นานนัก
จากเหตุนี้ จึงวิเคราะห์ไปถึงสัมพันธภาพของทั้ง “2ป.ประวิตร-ประยุทธ์” ที่มีอาการเคืองๆกันบ้าง แต่ไม่ถึงขั้นแตกหักแล้วแน่ ดูได้จากล่าสุด “บิ๊กตู่” ได้โอบไหล่ พี่ป้อม” โชว์สื่อ เพื่อย้ำถึงสัมพันธ์ที่ไม่มีใครทำลายได้ และขอให้สื่อเลิกพูดเสียทีในเรื่องนี้
กลับมาที่ “โทนี่ ทักษิณ” มีแผนการออกคลับเฮ้าส์ของกลุ่มแคร์ วันที่ 14ก.ย.นี้ โดยเตรียมพูดเรื่องเหตุการณ์ “ผู้กองมนัส” หลังโดนปลดจาก รมช.เกษตรฯ ที่ชื่อของ “โทนี่” เกี่ยวโยงเข้าไปด้วย ผ่านกระแสข่าว ยุทธการ “ดีลลับ กลับไทย” ที่ล่มอย่างไม่เป็นท่า
รวมทั้งโทนี่จะย้อนเล่าวันวานสมัยอายุ 25 ปี ที่ทำงานในทำเนียบรัฐบาล ยุครัฐบาล ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ถึงการเมืองในยุคนั้นกับยุคนี้เป็นอย่างไร และที่พลาดไม่ได้คือการพูดถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 19ก.ย.2549 ครบ 15 ปีด้วย ที่มี “บิ๊กบัง”พล.อ.สนธิ บุญรัตกลิน ผบ.ทบ.ในขณะนั้น ทำรัฐประหาร “โทนี่” โดยจะเชื่อมโยงมาถึงเหตุการณ์รัฐประหาร 22พ.ค.2557 หลังชะตากรรม “น้องสาว”ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่ต่างกับตัวเอง
ซึ่งไปสอดรับกับการเคลื่อนไหวในซีก “เต้น-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่เตรียมจัดคาร์ม็อบรำลึกเหตุการณ์รัฐประหาร 19ก.ย.2549 เช่นกัน โดยมีจุดนัดพบที่แยกอโศก เพื่อตอกย้ำถึงตัวเหตุการณ์เมื่อ 15 ปีก่อน ที่มีความเชื่อมโยงถึงปัจจุบัน แม้ว่าตัวละครทางการเมืองจะเปลี่ยนไปบ้าง แต่ยังคงเป็น “เน็ตเวิร์กเดิม” ทั้งกองทัพ-พรรคการเมือง-มวลชน ในการสร้างสถานการณ์ปูทางให้เกิดการรัฐประหารขึ้นทั้ง 2 ครั้ง
แม้ว่าศึกซักฟอกในสภา ที่ “โทนี่” หวังเป็นหมุดหมาย “ล้มระบอบ 3ป.” จะไปไม่ถึงฝั่ง แต่สิ่งที่สมใจปรารถนา “โทนี่” และ “พรรคเพื่อไทย” คือการแก้ไข รธน. ที่กลับมาใช้บัตร 2 ใบ และเปลี่ยนสัดส่วน ส.ส. ใหม่เป็น ส.ส.เขต 400 คน และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน คล้ายกับ รธน. ฉบับปี 2540 ที่ผ่านวาระ 3 ในสภาไปแล้ว
ทำให้ “โทนี่” ฝันหวานถึงวันวานในยุคที่ “พรรคไทยรักไทย” ชนะแบบแลนด์สไลด์ หวังให้ประวัติศาสตร์กลับมาซ้ำรอยอีกครั้ง เพื่อปูทางกลับมามี “อำนาจ” อีกครั้ง
การผลักดันให้เปลี่ยนระบบเลือกตั้งถอยหลังมาใช้บัตรสองใบ ถือเป็นใบเสร็จที่บ่งชี้ว่า “พรรคพลังประชารัฐ-พรรคเพื่อไทย” เปิดดีลทางการเมือง หลัง ส.ส.ก้าวไกล ออกมาแฉท่าทีของทั้ง 2 พรรค ในชั้นกรรมาธิการที่มีอาการ “กระหนุงกระหนิงกัน” นั่นเอง
แต่งานนี้ว่ากันว่าพรรคพลังประชารัฐจะ “เสียค่าโง่” ให้กับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ เพราะระบบเลือกตั้งเช่นนี้เอื้อต่อพรรคเพื่อไทยอย่างมาก ซึ่งจะสามารถกวาดสายตา ส. ส. เข้ามาเกินครึ่งเหมือนเลือกตั้งปี2554 เพื่อฝ่าด่าน ส.ว.250 คน ก็ถือเป็นอุปสรรคของฝั่ง “ทักษิณ” ได้ง่ายๆ
เป้าหมายหลักการแก้ รธน. ครั้งนี้ ทั้งการปรับสัดส่วน ส.ส. ใหม่ และใช้บัตรสองใบ ก็เพื่อไม่ต้องขอ “มือ 250 ส.ว.” มายกโหวตอีก ส่วนด้าน “เครือข่าย 3ป.-พรรคพลังประชารัฐ” ก็ต้องมั่นใจว่า ระบบเลือกตั้งแบบใหม่นี้ ไม่เป็น “อุปสรรค” ต่อพรรคเอง หรือต้อง “เสียค่าโง่” ให้กับพรรคเพื่อไทย
ทว่าในทางการเมืองก็อย่าได้ประมาท “อุบัติเหตุทางการเมือง” ที่สามารถเกิดได้ทุกเมื่อ เพราะระบบเลือกตั้งบัตร 2 ใบ อาจแท้งระหว่างทางก็เป็นได้ เพราะยังเหลือเวลาในการทำกฎหมายลูกระบบเลือกตั้งอีกหลายเดือน และเครือข่ายพรรคขนาดกลางถึงเล็กกำลังส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความ
ดังนั้นก้าวย่างของ “ทักษิณ” ยังคงดำเนินต่อไป ผ่านแนวรบเดิม 3 ส่วน ได้แก่ หนึ่ง ผ่านพรรคเพื่อไทย สอง ผ่านทาง โทนี่ หรือทักษิณ ในช่องทางกลุ่มแคร์ และ สาม มวลชนบนถนน ที่นำโดย “เต้น-ณัฐวุฒิ”
การต่อสู้ทางการเมืองรอบนี้ ภายใต้การบงการของกลุ่มทักษิณ เป็นการใช้หลัก หนามยอกเอาหนามบ่ง เพราะเมื่อสู้กับ “ทหาร” ก็ต้องใช้ “ตำราทหาร” เข้าสู้ และตอนนี้ “สงครามยังไม่จบ อย่างพึ่งนับศพทหาร” !?
.