พ่อ-แม่ คาใจ เอาลูกชายวัย 1 ขวบ 8 เดือน ไปจ้างให้คนรู้จักเลี้ยง แล้วเสียชีวิตปริศนา ไม่เชื่อว่าน้องจะไหลตายตามใบแพทย์ เหตุมีรอยฟกช้ำ ทั้งบริเวณศีรษะและลำตัว ขอหมอผ่าชันสูตร
เมื่อเวลา 19.00 น. วันที่ 26 สิงหาคม 64 ที่วัดบางพูดนอก ถนนสุขาประชาสรรค์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี นายกิตติธัช หรือ เจมส์ เล็กเขต อายุ 24 ปี ผู้เป็นพ่อ และ นางสาวปิยธิดา หรือ มิ้ว ดิลกกุลภัทร อายุ 21 ปี ผู้เป็นแม่ อาชีพรับจ้างทั่วไป ได้ร้องขอความช่วยเหลือจาก นายเกียรติคุณ ต้นยาง (ทนายโป้ง) ประธานชมรมทนายจิตอาสา เนื่องจากเด็กชายธนากร หรือน้องพอร์ช เล็กเขต อายุ 1 ขวบ 8 เดือน ที่นำไปฝากให้คนรู้จักเลี้ยงแล้วเสียชีวิตปริศนา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 64 ที่ผ่านมา ซึ่งทางพ่อแม่เด็กยังติดใจสาเหตุการเสียชีวิตของน้องพอร์ช อยากจะนำศพไปผ่าชันสูตรอีกครั้ง เพื่อหาสาเหตุการเสียชีวิต โดยในวันนี้เป็นการสวดคืนที่ 2 จะเผาในวันอาทิตย์นี้ ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของญาติพี่น้องที่มาร่วมในพิธีสวดพระอภิธรรมศพในคืนนี้
นายกิตติธัช และ น.ส.ปิยธิดา พ่อ-แม่น้องพอร์ช เล่าวว่า ตนเอาลูกไปฝากไว้กับ น.ส.กัญญาภรณ์ หรือ นุ่น นาคน้อย อายุ 20 ปี โดยจ้างเลี้ยงในราคา 500 บาทต่อวัน ซึ่งทุกครั้งที่ตนทั้งสองคนต้องไปทำงาน ก็จะจ้างน้องนุ่นเลี้ยงเป็นครั้งคราว ล่าสุด วันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา ตนได้รับโทรศัพท์จากทางคนเลี้ยงน้องว่าน้องตัวเกร็ง ไม่หายใจแล้วให้ไปดูที่คลินิก เมื่อไปถึงตอนนั้นคือไม่เห็นชีพจรน้องแล้ว หมอทางคลินิกก็ให้ตนทำใจไว้ เพราะปั๊มหัวใจน้องมาครึ่งชั่วโมงแล้ว พร้อมด้วยฉีดยากระตุ้นหัวใจ และให้รอคำตอบจากโรงพยาบาล ขณะกำลังส่งไปที่โรงพยาบาล ตนคิดว่าอาการของน้องหนักแล้ว พอไปถึงประมาณ 5 นาที หมอออกมาบอกว่าน้องสิ้นลมไปนานแล้ว และปั๊มหัวใจนานเกินไป หมอถามตนว่าจะให้หยุดปั๊มหรือปั๊มต่อ ตนจึงให้ปั๊มต่อเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ทัน
ตนมาฝากพี่เลี้ยงไม่ค่อยบ่อยมากจ ะฝากตอนที่ไม่ว่าง ปกติแล้วลูกตนเป็นเด็กร่าเริง ตนจึงติดใจในเรื่องการเสียชีวิตของลูกชาย เพราะมีจุดผิดสังเกตหลายอย่าง จึงจะเข้าแจ้งความและอยากให้ทางโรงพยาบาลผ่าชันสูตร ส่วนเรื่องที่คาใจ เพราะตัวน้องมีรอยช้ำบนหัวและไม่คิดว่าลูกจะไหลตาย
ส่วนคนที่จ้างเลี้ยงเป็นคนรู้จัก คือ รุ่นน้อง จ้างมาประมาณ 3-4 เดือนแล้ว ถ้าเลี้ยงข้ามคืนวันละ 500 บาท ถ้าเป็นวันๆ ละ 200-250 บาท แรกๆ จะไม่มีปัญหาเรื่องค่าจ้าง แต่บางครั้งเวลาลูกกลับบ้านก็จะมีรอยช้ำบ้าง ซึ่งทางพี่เลี้ยงก็บอกเป็นเพราะเด็กเล่นกัน เพราะพี่เลี้ยงก็มีลูกเหมือนกันที่เลี้ยงคู่กันกับน้องพอร์ช แต่ตนก็ตกลงกันไว้ถ้าลูกมีรอยช้ำกลับมาก็จะไม่จ่ายค่าจ้าง มีวันหนึ่งใบหูของลูกตนมีรอยโดนกัด แต่พี่เลี้ยงบอกว่าโดนแมวข่วน ตนจึงเอะใจว่าจะโกหกกันทำไม จึงอยากจะขอทางโรงพยาบาลชันสูตรศพให้น้องที เพราะทางบ้านก็ฐานะไม่ดีเท่าไหร่ ซึ่งตอนที่น้องขึ้นรถไป ทางนั้นไม่ให้ตนขึ้นรถ แต่ให้แม่คนเลี้ยงกับแม่เลี้ยงขึ้นรถ ตนจึงเอะใจ แต่ทางแม่เลี้ยงก็ยอมให้เราทั้งสองผ่าพิสูจน์
อยากบอกน้องว่า รักน้องมาก ถ้าเป็นไปได้จะไม่เอาน้องไปฝากกับคนอื่นแบบนี้ แต่เอาทุกสิ่งทุกอย่างกลับมาไม่ได้แล้ว และไม่เชื่อว่าน้องจะไหลตายตามใบแพทย์ และยืนยันว่า ถ้าน้องไม่ได้เสียชีวิตจากการไหลตาย จะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด นางบุญมี วงษ์สมิง อายุ 71 ปี ทวดของเด็ก เล่าว่า เมื่อวันอังคารสามีของพี่เลี้ยงเข้ามาเรียกพ่อของน้องพอร์ช แต่เขาไม่อยู่ จึงถามว่ามีอะไร และได้ข่าวมาว่าน้องชักอยู่โรงพยาบาลใกล้ๆ บ้าน ไม่ได้แจ้งว่าโรงพยาบาลอะไร ตอนแรกตนไม่ได้ไป แต่หลานกลับบ้านมาจึงฝากให้หลานไปดูที่คลินิกมิตรไมตรี หมอบอกว่าเด็กมาที่คลินิกตัวเขียวมาแล้ว ชีพจรไม่มีแล้ว
หมอบอกว่า เรียกรถที่โรงพยาบาลพระนั่งเกล้าแล้ว แต่ตามไปดูก็ไม่เจอ มารู้อีกทีคืออยู่โรงพยาบาลกรมชลประทาน เข้าไปดูเห็นว่าน้องนอนนิ่งแล้ว ซึ่งพ่อกับแม่น้องไม่บอกว่าไปฝากเพื่อนบอก เพียงว่าไปฝากบ้านยายเลี้ยง ตนจึงคิดว่าเด็กคงไม่เป็นอะไร บางครั้งกลับมาบางทีก็มีแผลมา ตอนที่น้องอยู่โรงพยาบาลกรมชลฯ เข้าไปดูนิดหน่อยไม่ค่อยเห็นบาดแผลอะไรมาก มีแค่ตรงหน้าอกเกิดจากรอยปั๊มชีพจร
ต่อมาผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบคุณนุ่น พี่เลี้ยงเด็กที่รับเลี้ยงดูแลน้องพอร์ช เผยว่า พ่อแม่น้องพามาฝากเลี้ยงวันอาทิตย์ประมาณ 2 ทุ่มกว่า และบอกว่าต้องขนของไปขาย ซึ่งตอนแรกตนจะไม่เลี้ยงแล้ว เพราะว่าน้องชอบมีอาการแปลกๆ ขาสั่น ชอบเอาหัวโขกกำแพง น้องชอบเครียดเวลามาอยู่ที่นี่ ซึ่งพ่อแม่เด็กก็รู้ เพราะเคยบอกกับตนอยู่ วันที่น้องเสีย คือ ตนเอาน้องนอนปกติพร้อมกับลูกของตน แต่น้องทำหน้าหงอยๆ ซึมๆ ถ้ามาที่นี่ทีไรน้องจะเป็นแบบนี้ตลอด วันที่แม่น้องเอามาส่ง น้องร้องไห้เรียกแม่ ซึ่งปกติไม่เคยร้อง แต่แม่เอาน้องมาส่งเสร็จก็ไปเลย ก่อนน้องจะเสียชีวิต ตนเลี้ยงมาประมาณ 3 วัน 2 คืน ซึ่งเป็นอีกไม่กี่ชั่วโมงที่พ่อกับแม่น้องจะมารับแล้ว
วันเกิดเหตุ น้องมีไข้ แต่ตนป้อนยาไปแล้ว แต่แฟนเป็นคนไปเจอ เพราะจะเข้าไปปลุกเด็กทั้งสองคนให้ตื่นมาพร้อมกัน แต่พอจับตัวน้อง น้องเกร็งตัวแข็ง และน้องชอบเอาผ้าปิดหน้าเวลานอน แต่ตนจะเอาผ้าออกให้ตลอด ตนก็เลี้ยงน้องมาประมาณ 4-5 เดือนแล้ว ตอนที่น้องเกร็งตนจับน้องนอนหน้าห้อง และทำ CPR ผายปอดน้อง น้องร้องมาเฮือกสุดท้าย ตนจึงรีบอุ้มไปคลินิกที่ใกล้ที่สุด น้องยังคงลืมตาเบลอๆ อยู่ และก็หลับไปต่อ หลังจากไปคลินิก ทางคลินิกวัดค่าชีพจรได้ 80 และปั๊มหัวใจ ซึ่งพ่อแม่น้องก็ได้ยินว่าทางคลินิกเปิดวิดีโอตัวอย่างและช่วยเหลือน้องตามในคลิป พอย้ายตัวน้องไป รพ.กรมชลฯ ทางหมอถามว่าจะยื้อตัวน้องต่อไหมหรือจะให้ปล่อยน้องจะได้ไม่ทรมาน ซึ่งตนห้ามความคิดเขาไม่ได้ เพราะลูกเขาเสียชีวิต เขาจะโทษตนก็ไม่แปลก เพราะลูกเขาอยู่กับตน แต่ตนก็เคยตีน้องนานๆ ที เวลาน้องจะซนมากๆ แต่ตนก็บอกแม่น้องตลอด บางครั้งมีรอยก็เป็นเพราะเด็กเล่นกัน บางทีก็ตกจากเตียง หลังจากนี้ ถ้าจะชันสูตรตนก็ยอมเพื่อความสบายใจ และความบริสุทธิ์ใจ
ด้าน นายเกียรติคุณ ต้นยาง หรือ ทนายโป้ง ที่มาร่วมสวดอภิธรรมศพ กล่าวว่า เบื้องต้นที่พ่อแม่น้องพอร์ชเล่าให้ฟัง ที่ไปฝากพี่เลี้ยง เลี้ยงน้องพอร์ช ทางพ้อแม่น้องติดใจที่สภาพศพน้องมีรอยฟกช้ำ ทั้งบริเวณศีรษะและลำตัว ยังคงคาใจอยู่ ซึ่งตอนนี้ทางพ่อแม่น้องประสบปัญหาตกงาน และไม่มีรายได้ จึงขอฝากถึงโรงพยาบาลรามาธิบดี จะขอคุณหมอช่วยอนุเคราะห์รับศพน้องไปผ่าชันสูตรให้ และในส่วนของคดีอาญา ได้นัดหมายให้พ่อแม่น้องไปแจ้งความที่ สภ.ปากเกร็ด จึงอยากฝากถึงพ่อแม่เด็กทุกๆ คน ที่ทำงาน และต้องเอาลูกไปฝากกับคนอื่น ต้องตรวจสอบให้ดีดูว่ามีมาตฐานในการดูแลไหม สถานที่ และอื่นๆ ได้มาตรฐานหรือไม่ จึงแนะนำให้ไปฝากที่เนิร์สเซอรีที่มีใบอนุญาติของ พม.และกระทรวงสาธารณสุข ถ้าเกิดครอบครัวน้องยากจนต้องอาศัยความคุ้นเคยและรู้จัก อยากจะให้ทางพ่อแม่ทุกๆ คน หมั่นดูแลลูก อย่าไปไว้ใจพี่เลี้ยงมาก ถึงรู้จักกันจริง จะต้องตรวจสอบให้ดี อยากฝากถึงพี่เลี้ยง อย่าเลี้ยงเพื่อหวังค่าจ้าง ให้คิดว่าให้เลี้ยงเหมือนลูกเรา เพราะลูกใคร ใครก็รัก