“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2564 ตอน “ตัวท็อป”หลุดโผซักฟอก “เพื่อไทย-ก้าวไกล”ร้าวลึก อารมณ์ค้างปม “แก้ รธน.”
ศึกซักฟอกเริ่มแล้ว หลังพรรคร่วมฝ่ายค้านได้เข้าชื่อยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีรายบุคคล ต่อ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
โดยมีรัฐมนตรีถูกจับขึ้นเขียง 6 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีอีก 5 ราย
วางเป้าหมายหลักในข้อหา บริหารจัดการสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19ล้มเหลว
ฝ่ายค้านเจาะจงเป้าหมายถล่ม “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ ให้เละคาสภา โดยที่ฝ่ายค้านเขียนญัตติกล่าวหาอย่างรุนแรง เหมือนตั้งใจเรียกแขก ถึงขั้นว่าเป็นโรค “โอหังคลั่งอํานาจ” (Hubris Syndrome) และ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.สาธารณสุข ก็ถูกหยามว่า “คุยโม้โอ้อวด-ขาดองค์ความรู้-ไร้ภูมิปัญญา” ในการกํากับดูแลงานด้านสาธารณสุขของประเทศ
ยังมีชื่อ “เสี่ยโอ๋ เซราะกราว” นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ที่ถูกตั้งข้อหา “กอบโกยผลประโยชน์” จากโครงการของรัฐ ที่คาดว่าเกี่ยวกับเมกะโปรเจ็กต์รถไฟสายต่างๆ โดยเฉพาะความไม่ชอบมาพากลในการประมูลรถไฟทางคู่
และข้อหา “เสเพล” เข้าไปในแหล่งอบายมุขจนเป็นต้นตอการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ตลอดจนยังมีปัญหาที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ที่ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง แห่งพรรคประชาชาติ จองกฐินต่อเนื่องจากศึกซักฟอกหนก่อน
ขณะที่ นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดนดูหมิ่นว่า “ไร้ภูมิปัญญา-ไร้ความสามารถ” รวมทั้ง “เรียกรับผลประโยชน์” จากโครงการของหน่วยงานที่กำกับดูแล
ด้าน “เสี่ยเฮ้ง ชลบุรี” นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เจอข้อหาเรื่องปล่อยปละละเลยให้แรงงานเข้าเมืองผิดกฎหมาย ปล่อยปละให้เกิดคลัสเตอร์โควิด-19 ในโรงงานโดยไร้มาตรการป้องกันควบคุม
และคนสุดท้าย “เสี่ยโอ๋ เมืองสิงห์” นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ที่ในญัตติมุ่งไปที่เรื่องออกมาเปิดหน้าชนกับ “เฟกนิวส์-ดาราคอลล์เอาท์” โดยสื่อรัฐบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร และอาจพ่วงไปถึงเรื่องอื่นด้วย
แต่จากที่ฝ่ายค้านหวังฉวยโอกาสเหยียบคันเร่งเดินเกมรุกใส่รัฐบาลในช่วงที่กำลังเผชิญมรสุมรอบทิศ ทั้งการบริหารจัดการโควิด-19 และวัคซีนล้มเหลว รวมถึงแรงต่อต้านของมวลชนบนถนนไม่เส้นแต่ละวัน ที่ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ดันเกิด “กระแสตีกลับ” ถูกตั้งแง่ถึงสาเหตุที่ศึกซักฟอกงวดนี้ ขาดชื่อ “ตัวท็อปๆ” ไปทั้ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่กำกับกระทรวงแรงงาน รวมไปถึงอาจมีส่วนในกรณีการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณืของกองทัพ
รวมทั้ง “บิ๊กป๊อก” พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่รับผิดชอบฝ่ายปกครอง ที่มีส่วนในการปล่อยปละละเลยให้เกิดคลัสเตอร์แพร่ระบาดในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
ตลอดจน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ที่ถือเป็น “เส้นเลือดใหญ่” ของรัฐบาล
เป็นเหตุให้ “ศึกใน” พรรคร่วมฝ่ายค้าน ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกล ปะทุขึ้นอีกครั้ง หลังเพิ่งสงบศึกจากปม “งบกลาง” ไปเมื่อไม่นานนี้
ฝ่ายพรรคก้าวไกล โดย นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรคก้าวไกล ยืนกรานว่าพรรคก้าวไกลได้เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร ในญัตติตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ 15 สิงหาคม ก่อนที่จะมีการยื่นญัตติต่อประธานสภาฯในวันที่ 16 สิงหาคม และย้ำว่าได้เสนอจน “นาทีสุดท้าย” แต่ที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้าน เห็นว่าไม่ควรจะเพิ่มรายชื่อแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีข้อมูลที่ออกจากทางพรรคก้าวไกลด้วยว่า “เสี่ยปาน” นายวิรัช รัตนเศรษฐ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล หรือวิปรัฐบาลต่อสายล็อบบี้ เพื่อให้ฝ่ายค้านถอนชื่อ พล.อ.ประวิตร หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ออกจากญัตติซักฟอก จนสุดท้าย ชื่อบิ๊กป้อมหลุดไป
ตามกระแสข่าวซุบซิบถึง “ดีลลับ” ฝ่ายรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย ฟากพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่ยอมตกเป็น “จำเลยสังคม” ออกมาโต้กลับทันทีว่า มีการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร เข้ามาจริง แต่เมื่อที่ประชุมพรรคร่วมฝ่ายค้านสอบถามถึงข้อมูลหลักฐาน กลับไม่ส่งมาให้ จึงจำเป็นต้องตัดชื่อ พล.อ.ประวิตร
และที่จริง นายยุทธพงษ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเอง ก็ได้เสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร เข้ามาเช่นกันเกี่ยวกับการจัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ แต่พิจารณาแล้วว่า “ไร้น้ำหนัก” จึงจำเป็นตัดออกไป
พร้อมยืนยันว่ามีการต่อสายจาก “วิรัช” ประธานวิปรัฐบาลจริง แต่ไม่เกี่ยวกับการมีหรือไม่มีชื่อ
พล.อ.ประวิตร รวมไปถึง ร.อ.ธรรมนัส เพราะภารกิจทั้งคู่ไม่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่เป็นธีมหลักในการอภิปรายครั้งนี้เท่าไร
แน่นอนว่าสังคมคงไม่คลายสงสัยถึง “ดีลลับ” ที่ส่งผลให้ “ตัวท็อป” อย่าง พล.อ.ประวิตร หรือ ร.อ.ธรรมนัส ไม่มีชื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ความขัดแย้งของพรรคร่วมฝ่ายค้านกลับ “แย่งซีน” ไปจนหมด
เพราะไม่ใช่ครั้งแรกที่ 2 พรรคแกนนำฝ่ายค้าน “เพื่อไทย-ก้าวไกล” เปิดศึกวิวาทะกันเอง แต่มีปัญหากระทบกระทั่ง หลายประเด็นมีความเห็นต่างกัน กันมาตลอดตั้งแต่ทำงานร่วมกัน 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ในทำนองต่างพรรคต่าง “ชิงดี-ชิงเด่น” เพื่อช่วงชิงฐาน “แฟนคลับ” ที่คาบเกี่ยวกันอยู่
แต่ “จุดแตกหัก” ของ 2 พรรค หาใช่เรื่อง “งบกลาง” ที่จบไปแล้ว หรือ “ศึกซักฟอก” ครั้งนี้ที่กำลังเดือด หากแต่เป็น “ปม” จากการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ 2 พรรคฝ่ายค้านเห็นแตกต่างกันอย่างชัดเจน
เพราะ พรรคเพื่อไทย สนับสนุนการแก้ไขระบบเลือกตั้ง โดยให้กลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ และกำหนดให้มี ส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน ที่เป็นทิศทางเดียวกับพรรคพลังประชารัฐ
สวนทางกับพรรคก้าวไกลที่ค้านหัวชนฝา เนื่องจากได้อานิสงค์เต็มๆจากระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ต้องกลับไปใช้ระบบเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ “ระบบทักษิณ” โดยพรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้ว
ด้วยระบบเลือกตั้งปี 40 นั้นไม่เอื้อต่อ “พรรคเล็ก” แต่เข้าทาง “พรรคใหญ่”
เมื่อพรรคเพื่อไทยสนับสนุนแนวทางเดียวกับฝ่ายรัฐบาล การแก้ไขระบบเลือกตั้งก็คงผ่านฉลุย ไม่ต่างจากการวางยา “พรรคก้าวไกล” ในทางอ้อม
จากเดิมที่ “ขบเหลี่ยม-ปีนเกลียว” กันอยู่แล้ว ก็เลยเถิดตั้งแง่เป็น “ศัตรูคู่อาฆาต” กันอย่างเป็นทางการ