“ข่าวลึกปมลับ” ออกอากาศทาง NEWS1 ล้วงปมลึก คลายปมลับ ตีแผ่ประเด็นร้อน กับ นพรัฐ พรวนสุข บก.ข่าวการเมือง และกระบวนการยุติธรรม วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม 2564 ตอน จับตาก้าวย่าง “กองทัพ” สัญญาณ “บิ๊กตู่” ไปต่อ?
เรื่องฉาวของกองทัพ กลายเป็น “เคราะห์ซ้ำกรรมซัด” แต่หากถามว่าใครเป็นผู้ก่อนขึ้น ก็คือ “ตัวกองทัพเอง” จากเรื่องเรือดำน้ำ ที่มา “ผิดจังหวะ” ยังไม่ทันข้ามสัปดาห์ ก็มีเรื่อง “วัคซีน” ให้ตกเป็นเป้าอีกครั้ง
ประเด็นวัคซีนครั้งนี้ ไปเกิดกับ “กองบัญชาการกองทัพไทย” หลังมีเอกสารหลุดออกมา โดยเป็นหนังสือ กองพิธีการ กรมสารบรรณทหาร เรื่องขอรับการสนับสนุนวัคซีนป้องกันโรคโควิด ขอแบ่งโควต้าวัคซีน โมเดอร์น่า ให้กับกำลังพลและครอบครัว
โดยส่งหนังสือไปถึงสภากาชาดไทย ซึ่งคราวนี้กลับไม่ใช่ “เอกสารปลอม” ตามแบบฉบับที่ใช้สยบทุกสิ่ง แต่กลับเป็น “เอกสารจริง” ที่ทำให้ บก.กองทัพไทย ต้องออกมาชี้แจงสังคม
ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้น พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้ทราบเรื่อง และสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมา และมีการชี้แจงผลในวันถัดมา โดยพลตรี ธีรพงศ์ ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา รองโฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย ได้ชี้แจงว่า
กองพิธีการ กรมสารบรรณทหาร ได้ทำหนังสือเพื่อขอรับการสนับสนุนวัคซีนจริง แต่เป็นการทำโดย “พลการ” ซึ่งผู้ที่ลงนามในหนังสือดังกล่าว ไม่ได้รับมอบอำนาจจากผู้บัญชาการทหารสูงสุด
จึงเป็นหนังสือที่ไม่ถูกต้อง และยังไม่ได้ส่งไปสภากาชาดไทย ทั้งนี้กองบัญชาการกองทัพไทย ได้พิจารณาลงโทษทางวินัยกับกำลังพลด้วย
แน่นอนว่า ทำให้เกิดกระแสโจมตีทหารอย่างหนัก และเห็นว่าการออกหนังสือเช่นนี้ เป็นการ “ด้อยด่าวัคซีนหลัก” ในขณะนี้หรือไม่
แต่เช้าวันต่อมา มีการตั้งแคมเปญ “เรารักเหล่าทัพไทย ขอซิโนแวค เข็ม 3 ให้กองทัพ” ซึ่งงานนี้ “กองทัพบก” ก็เล่นกับแคมเปญนี้ด้วย ซึ่งข่าวระบุว่า กองทัพฉีดวัคซีน “ซิโนแวค” ให้กำลังพลครบถ้วน ได้แก่
ทหารใหม่หรือทหารเกณฑ์ ผลัด1/64 จำนวน 34,822 นาย พร้อมทั้งครูฝึก ผู้ช่วยครูฝึก เจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง 15,635 นาย รวมทั้งฉีด “ซิโนแวค” ให้กับกำลังพลด่านหน้า ได้แก่ กองกำลังป้องกันชายแดน และบุคลากรทางการแพทย์ จำนวน 63,543 นาย รวมทั้งหมด 114,000 นาย
ถือว่า เป็นการกล้อมแกล้มแก้เกมเรื่องวัคซีน ขอวัคซีนโมเดอร์น่า ซึ่งก็สามารถดับกระแสโจมตีไปได้ระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ตอนนี้ ที่ทั้ง “กองทัพ-รัฐบาล” อยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ หาก “รัฐบาล” ล้ม “กองทัพ” ก็อยู่ลำบากเช่นกัน เพราะต่างเป็น “องคาพยพ” ที่เกื้อหนุนกัน
แม้ว่าวันนี้ ผบ.เหล่าทัพ ชุดปัจจุบัน จะมีระยะห่างจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม การสั่งงานมีความชัดเจนเรื่อง “สายบังคับบัญชา” โดย พล.อ.ประยุทธ์ จะสั่งการผ่าน “บิ๊กช้าง”พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม เพื่อไปยัง ผบ.เหล่าทัพ
ตลอดช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่ากองทัพทำงานในลักษณะ “รูทีน” หรือ “ตามระเบียบปฏิบัติประจำ” เท่านั้น หรือทำตาม “ใบสั่งรัฐบาล” ที่มอบหมายผ่านกระทรวงกลาโหม ไม่มีการ “ริเริ่มเอง” หรือ “นำร่อง” ล้ำหน้ารัฐบาล หากเทียบกับยุค ผบ.เหล่าทัพ ก่อนหน้านี้
แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา แตกต่างจากช่วง 2- 3 เดือนก่อน ในสถานการณ์ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ทะลุหลักหมื่นคนต่อเนื่อง ทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการที่เข้มข้นมากขึ้น
จน พล.อ.ประยุทธ์ เปรียบเป็น “สมรภูมิรบ” จึงหนีไม่พ้นการใช้ “กำลังทหาร-ตำรวจ” อย่างเต็มรูปแบบ สิ่งที่เห็นได้ชัด คือ ผบ.เหล่าทัพ มีความ “แอคทีฟ” ต่อการปฏิบัติงานมากขึ้น
โดยเฉพาะการที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการให้เหล่าทัพนำ “สโมสร-อาคารอเนกประสงค์” และ “หน่วยทหาร” ทำเป็น สนาม หรือ พื้นที่พักคอยการส่งต่อโรงพยาบาล เป็นต้น
นอกจากนี้ “เหล่าทัพ” และ กทม. ได้ตั้งพื้นที่พักแยกรักษาตัวในชุมชน หรือ Community Isolation ทั้ง 50 เขต เพื่อรองรับผู้ป่วยจาก รพ. ระดับต่างๆ พร้อมตั้ง “จุดบริการประชาชน” ในรูปแบบ One stop service เชื่อมโยงทุกหน่วยงาน
อีกทั้งให้ทุกค่ายทหารตั้งพื้นที่พักแยกรักษาตัว หรือ Community Isolation ในการดูแลกำลังพล ครอบครัว และชุมชนรอบค่าย เพื่อช่วยลดภาระสาธารณสุขภายนอก
รวมทั้งจัด “ทหารเหล่าแพทย์” แถว 2 ดูแลผู้ป่วยโควิดใน รพ.สนาม พื้นที่ต่างๆ และ ทหารเหล่าแพทย์ แถว 3 ที่ไม่ได้ทำงานอยู่ในสายแพทย์แล้ว ช่วยฉีดวัคซีน จัดชุดตรวจ Rapid Test เสริมทัพแพทย์กระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ
ท่ามกลางสัญญาณในลักษณะที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะได้ไปต่อหรือไม่ ? ที่เป็นกระแสพูดกันมาตลอด 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมาพร้อมปรากฏการณ์ที่ “กองทัพ” ระดมสรรพกำลังอย่างเต็มสูบในสัปดาห์ที่ผ่านมา
จึงเป็นเรื่องที่น่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นช่วงเวลา “หัวเลี้ยวหัวต่อ” ทาง “อำนาจ” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ด้วย
Aa