xs
xsm
sm
md
lg

ศาลอาญายกฟ้อง "ศุภชัย" คดีฉ้อโกงเงินสมาชิกเครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯ ชี้้ฟ้องซ้ำ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม


นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 64 ปี อดีตประธานสหกรณ์ฯ
ศาลอาญาพิพากษายกฟ้อง“ศุภชัย” อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น กับพวกอีกสำนวน คดีฉ้อโกงเงินสมาชิก เสียหาย 1 หมื่นล้านบาท ชี้อัยการฟ้องซ้ำ ศาลเคยพิพากษาคดีฉ้อโกงที่มีพฤติการณ์และมูลเหตุเดียวกันไปแล้ว เมื่อปี 2563

วันนี้ (30 มิ.ย.) ที่ห้องพิจารณา 802 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีฉ้อโกงสหกรณ์ฯยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด หมายเลขดำ อ.3339/2559 ที่พนักงานอัยการคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ฟ้องนายศุภชัย ศรีศุภอักษร อายุ 64 ปี อดีตประธานบริหารสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนจำกัด ตั้งแต่ปี2551-2554 กับพวกรวม 12 คนเป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกัน ฉ้อโกงประชาชน

โดยอัยการโจทก์ระบุฟ้องความผิดพวกจำเลยสรุปว่า เมื่อระหว่างเดือน ม.ค. 2551-ธ.ค.2555 พวกจำเลยร่วมกันหลอกลวงผู้อื่นหรือประชาชน ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง ซึ่งควรบอกให้ แจ้งแก่ประชาชน ด้วยวิธีการต่างๆ เป็นขั้นตอน ในลักษณะแบ่งหน้าที่กันทำ และร่วมรู้เห็นการกระทำผิดต่างๆ ร่วมกัน โดยเจตนาทุจริต เพื่อแสวงหาประโยชน์ ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย สำหรับตนเองและผู้อื่น

โดยพวกจำเลยได้บังอาจร่วมกันจัดทำสัญญากู้ยืมเงิน ระหว่าง สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด(ผู้ให้กู้) กับ สมาชิกสมทบ (ผู้กู้) ซึ่งเป็นนิติบุคคล หรือคณะบุคคลที่ไม่ได้ถือหุ้นในสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด จำนวน 28 ราย รวมเป็นเงินตามสัญญากู้ยืมเงิน จำนวนทั้งสิ้น 11,858,440,000 บาท โดยไม่มีการกู้ยืมเงินกันจริง และร่วมกันทำการบันทึกรายการทางการเงิน อันเป็นเท็จ ในการบันทึกรายการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมเงินและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ สมาชิกสมทบ โดยไม่มีการรับชำระหนี้เงินกู้ยืมและดอกเบี้ยรับจากลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษสมาชิกสมทบจริง และบันทึกจ่ายเงินให้แก่ลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ โดยไม่มีการจ่ายเงินที่กู้ยืมออกจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นฯจริง ทั้งยังร่วมกันจัดทำใบสำคัญรับชำระเงินลูกหนี้ทดรองจ่ายให้แก่นายศุภชัยจำเลยที่ 1 อันเป็นเท็จ และร่วมกันจัดทำใบสำคัญจ่ายเงินจำเลยที่ 1 อันเป็นเท็จ ร่วมกันทำการบันทึกรายการเกี่ยวกับการจ่ายเงินสดให้ลูกหนี้เงินกู้ยืมพิเศษ ทั้งที่ไม่มีการกู้ยืมเงินและการจ่ายเงินจริง

โดยการทำสัญญากู้ยืมเงินเท็จดังกล่าวข้างต้น เพื่อปกปิดการทุจริต หรือการเบิกจ่ายเงินทดรองจ่ายที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับ ระเบียบของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด หรือนำมาปรับโครงสร้างหนี้และเพื่อตกแต่งบัญชีของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด ให้ปรากฏเป็นเท็จว่า สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น จำกัด มีผลการประกอบกิจการ ที่มีผลกำไรสุทธิ โดยทำให้ปรากฏ ในงบการเงิน และงบดุล ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จำกัด โดยนำงบกำไรสุทธิไปแสดงในรายงานประจำปีพ.ศ.2552- พ.ศ.2555 ทั้งที่ความจริงแล้ว การดำเนินการของสหกรณ์เครดิตฯ มีผลประกอบการขาดทุนจำนวนมากตลอดมา

เหตุเกิดที่แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร และที่อื่นเกี่ยวพันกัน ขอให้ลงโทษตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 343 และให้พวกจำเลยทั้งหมดร่วมกัน คืนเงินให้แก่ผู้เสียหายแต่ละราย จำนวน 2,254 รายด้วย

ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานว่าสำหรับความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนเห็นว่า จำเลยที่ 1 ในคดีนี้ เคยถูกฟ้องเป็นจำเลยที่ 2 ในคดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ของศาลอาญา ในความผิดฉ้อโกงประชาชนเช่นเดียวกันกับคดีนี้ โดยโจทก์บรรยายฟ้องเหมือนกันว่า สหกรณ์ฯมีนายศุภชัยในฐานะประธานกรรมการดำเนินงานฯ ร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน โดยหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และยังร่วมกันบันทึกรายงานทางการเงินอันเป็นเท็จ รวมทั้งทำสัญญากู้ยืมเงินเท็จเพื่อปกปิดการทุจริต หรือการเบิกจ่ายเงินที่ไม่ถูกต้องตามข้อบังคับของสหกรณ์ฯ ซึ่งเหตุกระทำความผิดเกิดขึ้นระหว่าง ปี2552-2556 โดย คดีหมายเลขดำ อ.1260/2561 และ อ.235/2562 ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องไปแล้ว เมื่อปี2563 ดังนั้นเมื่อฟ้องโจทก์ในส่วนของจำเลยที่1คดีนี้ ซึ่งเป็นการอ้างกระทำความผิดในคราวเดียวกันกับ 2 คดี ที่ศาลได้มีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธินำคดีมาฟ้องจำเลยที่1 ในคดีนี้เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่ได้มีคำพิพากษาไปแล้ว โดยสิทธิการนำคดีอาญามาฟ้องเป็นอันระงับไปตาม ประมวลวิธีพิจารณาความอาญา ม.39(4)

สำหรับจำเลยที่ 2-12 โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลย2-12 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้อง ศาลเห็นว่า ในส่วนของพยานซึ่งเป็นพนักงานของสหกรณ์โจทก์ร่วมได้เบิกความเพียวโครงส่รางและขั้นตอนการทำงานของโจทก์ร่วมเท่านั้น ขณะที่พยานกลุ่มอื่นที่โจทก์ร่วมนำมาสืบก็ไม่ได้นำสืบถึงการกระทำของจำเลยที่ 2-12 ว่ากระทำการร่วมกับจำเลยที่1 ในการฉ้อโกงประชาชนอย่างไร จึงยังรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 2-12 ร่วมกับจำเลยที่1 ฉ้อโกงประชาชนตามฟ้อง

ส่วนความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิ และใช้เอกสารสิทธิปลอมนั้น โจทก์ได้ฟ้องจำเลยที่ 1 ,3 ,7 ,11 ว่า ร่วมกันเอาเงินของสหกรณ์ฯโจทก์ร่วม ไปประมาณหมื่นล้านบาทเศษ โดยใช้วิธีร่วมกันสั่งจ่ายเช็คจากบัญชีธนาคารของสหกรณ์ฯแล้วนำไปเบิกโดยทุจริต และจำเลยทั้ง 4 จัดทำเอกสารทางการเงินเพื่อไม่ให้ผู้ตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ฯตรวจพบพิรุธ ซึ่งกระทำผิดในช่วงเดือน ม.ค.2552 - พ.ค.2555 ศาลเห็นว่าจำเลยทั้ง 4 ที่ถูกฟ้องนั้นก็ได้ถูกฟ้องในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ซึ่งระยะเวลาการกระทำผิดตามที่ถูกกล่าวหานั้นเป็นระยะเวลาที่ทับซ้อนกันและยังบรรยายฟ้องเกี่ยวกับพฤติการณ์การตกแต่งบัญชีของสหกรณ์ฯเพื่อปกปิดการทุจริต และนำเอาเงินของสหกรณ์ฯไป กรณีนี้จึงเป็นข้อเท็จจริงที่ซ้ำกัน เพียงแต่โจทก์อ้างฐานความผิดที่ฟ้องใหม่เป็นฐานร่วมกันลักทรัพย์เท่านั้น การกระทำความผิดคราวเดียวกันควรได้รับโทษเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อศาลได้วินิจฉัยพฤติการณ์การกระทำความผิดของจำเลยในความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนไปแล้ว จึงไม่วินิจฉัยความผิดดังกล่าวให้ซ้ำซ้อนกันอีก จึงพิพากษายกฟ้อง

ภายหลัง นายปัญญา ถาวรอัครนิล ทนายความนายศุภชัย เปิดเผยว่า ศาลยกฟ้อง เนื่องจากก่อนหน้าที่เคยมีคำพิพากษายกฟ้องในความผิดคดีฉ้อโกงไปแล้ว 2 คดี ซึ่งมีทั้งพฤติการณ์ รวมทั้งมูลเหตุและข้อเท็จจริงเดียวกัน ส่วนคดีแพ่งทราบว่าผู้เสียหายไดฟ้องแพ่ง ซึ่งศาลแพ่งก็ให้นายศุภชัย ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ส่วนจะชดใช้เงินคืนไปแล้วเป็นจำนวนเท่าใดก็ต้องไปตรวจสอบดูอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม นายศุภชัย ที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ก็ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับผู้ถูกคุมขังคนอื่นแต่เรือนจำก็ดูแลเป็นอย่างดี ปัจจุบันนี้นายศุภชัยหายป่วยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับนายศุภชัยนั้น ก่อนหน้านี้ศาลฎีกาได้พิพากษายืนให้จำคุก 7 ปี ฐานยักยอกเงินสหกรณ์ฯ จำนวน 22,132,000 บาท เป็นของตนเองโดยทุจริต ไม่รอลงอาญา อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายศุภชัยยังคงมีคดีอาญาที่ถูกฟ้องซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอีกหลายสำนวน ทั้งความผิดฐานร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินที่ได้จากการทุจริตสหกรณ์คลองจั่นฯ ด้วย

สำหรับรายชื่อจำเลยทั้งหมดคน ประกอบด้วย นายศุภชัย ศรีศุภอักษร , อดีตประธานสหกรณ์ฯ นายมณฑล กันล้อม อดีตกรรมการฯ,นายลภัส โสมคำ ,นางทองพิน กันล้อม อดีตกรรมการฯ ,นายณัฐวัฒน์ ปิยพัชร์เมธี อดีต ผจก. ,นายอารีย์ แย้มบุญยิ่ง อดีต ผจก.,น.ส.ศรัณยา มานหมัด อดีตรองฯ ,น.ส.วาริศา เอกชัยจินดาวัฒน์ อดีตกรรมการ,นางจันทร์ฉาย ขันธะหัตถ์ รอง ผจก.,นายธนากร น่าบัณฑิต อดีต จนท.,นายกฤษฎา มีบุญมาก อดีต จนท.,นางวันเพ็ญ ยอดดี อดีต ผจก.ฝ่ายการเงิน ,ส่วนผู้เสียหาย มีจำนวน 2,254 ราย ได้มีการฟ้องแพ่งเพื่อเรียกร้องให้จำเลยชดเชยค่าเสียหายแล้ว ซึ่งทางจำเลยอยู่ระหว่างดำเนินการผ่อนชำระชดใช้ค่าความเสียหาย
กำลังโหลดความคิดเห็น